ชัยชนะของลิเวอร์พูลที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค เมื่อคืนวันอาทิตย์มีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน
ความเด็ดขาดในการทำประตู ความผิดพลาดและสมาธิที่เสียไปของผู้เล่นนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด วิธีการเล่นของทีมสาลิกาดงเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ การเปลี่ยนตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์
หัวใจสำคัญที่เป็นจุดพลิกผันของผลการแข่งขันนัดนี้น่าจะมีอยู่สัก 3-4 เหตุการณ์ ทั้งการป้องกันอันมหัศจรรย์ของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ลูกยิงชนเสาของ มิเกล อัลมิรอน การหลุดไปสองคนแต่ทำประตูไม่ได้ของนิวคาสเซิ่ล รวมทั้งการสับไกยิงที่สมบูรณ์แบบของ ดาร์วิน นูนเยซ ทั้ง 2 ประตู
3-4 เหตุการณ์นี้สำคัญในระดับส่งผลโดยตรงต่อผลการแข่งขันที่ออกมา ลูกผวาปัดเหลือเชื่อของอลีสซงในครึ่งแรกช่วยให้ทีมไม่ตามหลังเจ้าถิ่นไกลถึง 2 ลูกก่อนกลับเข้าห้องแต่งตัว เช่นเดียวกับลูกยิงของ อัลมิรอน ถ้าเบี่ยงขวาอีกนิดก็เช็ดเสาเข้าประตูให้นิวคาสเซิ่ลหนี 2-0 เมื่อเข้าสู่ 15 นาทีสุดท้าย หรือจังหวะหลุดขึ้นไปสองคนที่ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ไม่ผ่านให้ คัลลัม วิลสัน หลังจากนั้นไม่นาน
ถ้านิวคาสเซิ่ลทำได้มันคงเกินกำลังที่ลิเวอร์พูลจะกลับมามีแต้ม แต่ในเมื่อมันไม่เกิดขึ้น รูโหว่เล็กๆ ก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ทั้งรูโหว่แห่งความกังวลของบรรดาทูนอาร์มี่ และรูโหว่แห่งความหวังของเดอะค็อป
หนึ่งประตูที่ยังนำอยู่ไม่ใช่เรื่องปลอดภัย แม้กลยุทธที่ เอ๊ดดี้ ฮาว เลือกใช้จะเน้นความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ไม่บุกบดขยี้แบบเอาตายเพื่อทำประตูที่สอง-สาม-สี่ แต่เน้นความรัดกุมครอบครองบอล ไม่ผ่านบอลเข้าทำได้เสียที่จะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียบอล
ผมคิดว่าเรื่องนี้มีเหตุผลที่เข้าใจได้ ก็เพราะสถิติการพบกันที่ นิวคาสเซิ่ล แพ้ ลิเวอร์พูล มาตลอดนั่นแหละ สี่เกมที่พบกันก่อนหน้านี้แพ้รวดไม่ว่าจะเล่นที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค หรือแอนฟิลด์ 13 เกมก่อนหน้านี้ตลอดเวลา 8 ปีเอาชนะหงส์แดงไม่ได้เลย
ดีที่สุดแค่ผลเสมอ 4 หนเท่านั้น
การตัดสินใจ ณ นาทีนั้นเป็นเรื่องต้องชั่งน้ำหนัก เล่นต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง เสียงเชียร์โหมกระหึ่มเขย่าขวัญ ทีมขึ้นนำ คู่แข่งกำลังปั่นป่วน แล้วยังมาโดนใบแดงเหลือแค่สิบคน โอกาสช่างเย้ายวนให้เปิดเกมรุกลุยแหลกขยี้ให้ยับเพื่อทวงเอา 13 เกมนั้นกลับคืนมาแบบทบต้นทบดอก
ผมคิดว่าแฟนบอลหลายคนของทั้งสองทีมก็คงคิดคล้ายๆ กันในทันทีที่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ถูกไล่ออก สถานการณ์หลังจากนั้นลิเวอร์พูลลำบากแน่ นิวคาสเซิ่ลคงไม่ปล่อยให้นาทีทองหลุดลอยไปและคงปูพรมโขยกใส่อย่างบ้าเลือด
แอสตัน วิลล่า โดนความโหดร้ายนั้นเล่นงานมาแล้วในนัดเปิดฤดูกาล
เพียงแต่สถิติที่ถูกลิเวอร์พูลเล่นงานเป็นประจำจนเหมือนบอลแพ้ทางอาจทำให้ เอ๊ดดี้ ฮาว คิดอีกอย่างหนึ่ง
สถานการณ์ได้เปรียบทุกประตูแบบนี้ขอแค่ครอบครองเกมเอาไว้ รักษาสมาธิไม่ทำผิดพลาด เล่นไปตามจังหวะที่เปิดให้ ถ้าได้ประตูที่สองก็เยี่ยม แต่ถ้าไม่ได้ สกอร์ 1-0 ก็เพียงพอเพราะมันเป็นสามคะแนนเหมือนกัน
ในแง่กลยุทธแล้วมันก็ไม่ผิด ตัวผู้เล่นมากกว่าไม่จำเป็นต้องไล่ล่าบดขยี้ทีมเยือนอย่างบ้าคลั่งจนเปิดแนวรับด้านหลังมากเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดโอกาสให้ทีมที่มีเกมรุกอันตรายอย่างลิเวอร์พูล ฉะนั้นเลือกใช้การเล่นแบบไม่เสี่ยง รอจังหวะทำประตูที่สองเพื่อปิดเกมปลอดภัยกว่า
อย่าลืมว่าด้วยกลยุทธนี้นิวคาสเซิ่ลก็เกือบจะทำประตูที่สองได้ 2-3 ครั้งเช่นกัน ถ้ามันเปลี่ยนเป็นประตูสักลูกก็คงกำชัยไปแล้วและการตัดสินใจของฮาวก็จะเป็นการเลือกใช้กลยุทธที่ถูกต้อง
แต่เมื่อไม่ใช่ กลยุทธนั้นก็จะยังคงตั้งอยู่บนความเสี่ยงในอีกภาพหนึ่ง นั่นคือนิวคาสเซิ่ลยังนำอยู่แค่ประตูเดียวเท่านั้น โอกาสพลาดแม้จะมีน้อยแต่ถ้ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ชัยชนะก็อาจหายวับไปได้ทันทีเหมือนกัน
ที่ตลกร้ายก็คือมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วนิวคาสเซิ่ลก็ถูกลิเวอร์พูลเล่นงานอีกแล้ว
จากโอกาสทำประตูทิ้งห่างที่หลุดลอยไป นิวคาสเซิ่ลโดนหงส์แดงซัดโป้งเดียวกลับมาเสมอ 1-1 แล้วก็โดนซัดอีกโป้งพลิกสกอร์เป็น 2-1 แล้วลิเวอร์พูลก็ควักสามคะแนนกลับเมอร์ซี่ย์ไซด์ดื้อๆ ไปเลย
ฟุตบอลมันก็แบบนี้ โอกาสมีให้คุณเสมออยู่ที่ว่าคุณจะคว้ามันได้ไหม และเกมนี้ลิเวอร์พูลคว้ามันได้เต็มไม้เต็มมือ
ว่ากันถึงความยากของสถานการณ์ มันเหลือเชื่อที่สุดอย่างที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ บอกนั่นล่ะครับ ไปเยือนเซนต์ เจมส์ พาร์ค ที่เสียงเชียร์เข้มข้น โดนนำไปก่อน แถม ฟาน ไดค์ ยังถูกไล่ออกเมื่อเวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แค่กลับมาเสมอยังยาก แต่นี่ทีมของเขาถึงขั้นชนะได้เลย
มันคือเกมที่การเปลี่ยนตัวของคล็อปป์ฉมังสุดขีด ทั้งถูกตัวและถูกเวลา
โจ โกเมซ (แทน หลุยส์ ดิอาซ นาที 33) ลงมายืนคู่กับ โฌแอล มาติป ได้อย่างหมดจดไม่ทำอะไรผิดพลาด
ดีโอโก้ โชต้า (แทน โกดี้ คักโป นาที 58) เพิ่มความสดและวูบวาบในแดนหน้า
ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ (แทน วาตารุ เอนโด นาที 58) ขยันช่วยไล่บอลวิ่งขึ้นวิ่งลงในแดนกลาง
จาเรลล์ ควอนซาห์ (แทน มาติป นาที 77) นิ่งและจัดการกับความกดดันได้ดี
โชต้าจ่ายลูกแรก เอลเลียตต์ตัดบอลได้จนนำมาสู่ประตูที่สอง และมันล้วนไปจบที่ ดาร์วิน นูนเญซ (แทน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ นาที 77) พระเอกของงานกับ 2 ประตูคมๆ ที่พาเขาเป็นฮีโร่และแมนออฟเดอะแมตช์..
ไม่มีอะไรน่าพอใจมากไปกว่านี้อีกแล้ว นักเตะที่หลายคนยังเอาใจช่วย บางคนเลิกหวังไปแล้ว บางคนถึงขั้นดูแคลน กลับลงสนามมากด 2 ประตูสำคัญพาทีมแซงชนะที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค ทั้งที่เล่นสิบคนมาร่วมชั่วโมง
ดาร์วินยังคงวิ่ง และวิ่ง และวิ่ง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในทุกวินาทีที่อยู่ในสนาม มันก็เป็นภาพเดิมๆ ที่คุ้นตา แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือจังหวะจบสกอร์อันเฉียบขาดที่ทุกคนต้องการเห็น
ลิเวอร์พูลซื้อเขามาเพื่อประตูแบบนี้
จมูกไวไม่ปล่อยโอกาสทองหลุดมือ เกี่ยวบอลที่ สเวน บ็อตมัน สกัดไม่หลุดด้วยน้ำหนักที่พอดีทะลุเข้าเขตโทษแล้วตะบันส่งบอลพุ่งเรียดเช็ดเสาไกลในประตูตีเสมอ
ขยับตัวให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เห็นทันทีที่เอลเลียตต์ตัดบอลได้และบอลทะลักไปถึงดาวเตะอียิปต์ การวิ่งโฉบเข้าช่องด้วยจังหวะพอดีทำให้ซาลาห์ปล่อยบอลได้ง่าย มันลงตัวสมบูรณ์แบบด้วยการสับไกยิงที่เฉียบขาดอีกหนส่งบอลพุ่งต่ำทแยงมุมเข้าไปเสียบหน้าต่างมุมเดิม
นี่แหละ.. แบบนี้แหละ
การจบสกอร์แบบสไตรคเกอร์ที่เขามีอยู่ในสัญชาตญาณ ขอเพียงเรียกมันกลับมาให้สม่ำเสมอ รักษามันเอาไว้และต่อยอดความมั่นใจขึ้นไปจนอยู่ในระดับที่มั่นคง ด้วยพรสวรรค์เรื่องยิงประตูและการสนับสนุนจากเพื่อนๆ ที่อยู่ด้านหลัง ดาร์วินจะสามารถช่วยทีมได้อีกมากจากความเร็ว ความขยัน และความเด็ดขาดในการส่งบอลเข้าประตูของเขา
การไม่โหมบุกของนิวคาสเซิ่ลนั่นเรื่องหนึ่ง แต่ลิเวอร์พูลก็เล่นอย่างอดทนและรอโอกาสอย่างมีวินัยเช่นกัน โอกาสที่ว่าจะมาไหมไม่รู้แต่ในระหว่างที่มันยังไม่มาพวกเขาต้องไม่ก่อความผิดพลาดเองอีกเด็ดขาด
อดทนรอโอกาสด้วยความหวัง ตราบใดที่ยังไม่เสียประตูที่สอง ความหวังก็ยังมีอยู่ แล้วในที่สุดมันก็มาถึงจริงๆ
การโดนตีเสมอในช่วงสิบนาทีสุดท้ายมีส่วนทำให้สภาพจิตใจของนักเตะนิวคาสเซิ่ลสั่นคลอน ความหงุดหงิดเสียดายสามคะแนนที่หายไปทำให้ บรูโน่ กีมาไรช์ ซึ่งเป็นคนที่ผ่านบอลแน่นอนที่สุดคนหนึ่งในสนามเสี่ยงจ่ายบอลยาก ผลคือบอลไปติดเอลเลียตต์ เสียการครองบอล และถูกลิเวอร์พูลลงโทษทันที
ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นความพ่ายแพ้ที่รบกวนจิตใจ ทูน อาร์มี่ พอสมควร เรื่องยอมรับความปราชัยนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่ยังคลางแคลงใจวิธีการเล่นของทีม ถ้า ฮาว เลือกอีกแบบคือใส่เกมรุกที่เป็นธรรมชาติของทีมให้เต็มกำลังไปเลยมันจะเป็นอย่างไรกันนะ
หลายคนคงอยากเห็นนิวคาสเซิ่ลเลือกใช้การไล่บดขยี้ให้แหลกไปเลยเหมือนวันที่ฆาตกรรมโหดแอสตัน วิลล่า ยิ่งลิเวอร์พูลเหลือ 10 คนด้วยแล้วก็ลุยเต็มสูบอย่างเดียว กล้าได้กล้าเสียไม่ต้องกลัวโดน สมมติว่าผลออกมาไม่ชนะอย่างน้อยก็ยังได้รู้ระดับของตัวเองเวลานี้ว่าถ้าเปิดเกมแลกกับทีมหงส์แดงจะเป็นอย่างไร
แต่การตัดสินใจ ณ วินาทีนั้นเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว ฮาวเลือกแล้วว่าจะเล่นแบบไหน แน่นอนมันอาจเป็นเรื่องที่แฟนบอลเสียดายที่ไม่ได้เห็นสิ่งที่อยากเห็น ทว่าใครจะตอบได้ว่าหากนิวคาสเซิ่ลลุยแหลกตามความเย้ายวนจริงๆ จะไม่เป็นการเปิดโอกาสให้ลิเวอร์พูลกลับมาสู่เกม
เป็นอีกครั้งครับที่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ร่วมกันสร้างเกมที่น่าจดจำขึ้นมาด้วยกัน ความดราม่าเต็มสิบไม่มีหัก เพียงแต่โจทย์ข้อใหญ่ยังโถมทับบ่าของทีมสาลิกาดง
เล่นหยาบก็โดน เล่นละเอียดก็โดน กระทั่งคิดรอบคอบที่สุดแล้วก็ยังโดน จะต้องทำอย่างไรอีกเล่าถึงจะก้าวข้ามลิเวอร์พูลได้เสียที..
ตังกุย