สองเกมที่อยากเขียนถึงครับ เริ่มที่ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ คู่อันดับหนึ่งระหว่างอาร์เซนอล "จ่าฝูง" กับ สเปอร์ส
นี่คือเกมที่เหมือนทดสอบเส้นทางข้างหน้าของสองทีม หลังจากออกตัวดีทีเดียว
ใครจะก้าวข้ามเส้นแห่งการพัฒนาไปได้ หากมีผลชนะในเกมนี้ แน่นอนปืนชนะก็รักษา "จ่าฝูง" ต่อไป ส่วนสเปอร์ส ถ้าชนะก็ขึ้นจ่าฝูงเช่นกัน
ทำไมลอนดอนตอนเหนือจึงเป็นสีแดง...
1 ทางใครทางมัน
นัดนี้ปืนตัวเต็ม โอเดการ์ด คืนสนาม, ปาเต พร้อมเล่นแดนกลาง โดยเกมแพลนของ มิเกล อาร์เตตา คือคอนโทรลเกมและบุกเข้าหา แต่จะไม่รีบร้อน ไม่ผลีผลามมากเหมือนเกมที่โดนแมนฯยูไนเต็ด ตลบหลัง ขณะที่ อันโตนีโอ คอนเต ก็มาวางเกมแพลน คือรับรอสวน ซึ่งนัดนี้ไม่มี คูลูเซฟสกี้ เลือกใช้ ริชาลิซอน ลงพร้อมกันกับ ซน และ เคน
เกมสองแทกติก ขึ้นกับว่าทางของใคร ในการเล่นจะเข้าทางกว่ากัน
ซึ่งตั้งแต่เริ่มเกมจนได้ประตูนำ อาร์เซนอล คุมจังหวะการบุกและหาโอกาสเข้าทำจนได้ประตู จากนอกเขตโทษ ขณะที่สเปอร์ส เองก็พยายามหาจังหวะสวนกลับ จนมาได้ประตูตีเสมอจากความผิดพลาดในการป้องกันของแนวรับปืนเอง สกัดบอลไม่ขาด ชาก้า จับบอลเล่นในเขตโทษแล้วลั่น....จน กาเบรียล ทำฟาวล์ ริชาลิซอน เสียจุดโทษ
2 ไก่พลาดโดนนำเร็วและเสียใบแดง
ครึ่งหลังปืนออกตัวมาแล้วนำเร็ว 2-1 จังหวะผิดพลาดของ ยอริส ปัดบอลไปโดนหน้าแข้ง โรเมโร กระดอนกลับมาลอดแขน ยอริส ซึ่งจังหวะนั้น เชซุส จมูกไว ตามเข้าไปจิ้มเผาขนเข้าไป
จากนั้น เอเมอร์สัน รอยัล โดนใบแดงจากการพุ่งเสียบข้อเท้าแบบเปิดปุ่มใส่ มาร์ติเนลลี ซึ่งจังหวะนี้โดนแดงเพราะคู่แข่งครองบอล ขณะที่ รอยัล ไม่มีโอกาสจะได้ไปแย่งบอลอะไรนอกจากย่ำข้อเท้า
ที่เหลือก็งานง่ายสำหรับปืนใหญ่
3 บอลคอนโทรลของปืน
ย่างไรก็ตาม....สิ่งที่แฟนปืนน่าจะชื่นใจคือ วิธีการเล่นเกมรุกด้วยการครองบอล พาสซิง แม่นยำ และคุมเกมได้บอลเอาไว้กับทีม ทั้งที่รู้ว่ามันก็เสี่ยงต่อการโดนสวนกลับจากสเปอร์ส แต่ อาร์เตตา พัฒนาทีมจนคุมเกมได้เหนือกว่าและชนะอย่างงดงามจากการเล่นแบบนี้ ต่อคู่ปรับตลอดกาลของพวกเขา
ชนะทั้งเกมและสกอร์ และถือว่าบททดสอบนี้ผ่านไปอีกขั้น
4 ดาร์บี 192 เป็นของปืนโต
ชัยชนะนัดที่ 80 กับสเปอร์ส เสมอกัน 51 มันมีสถิติน่าสนใจหลายเรื่อง
เชซุส ยิงแล้วไม่แพ้ใครในพรีเมียร์ลีก นี่คือนัดที่ 51 ที่เขายิงได้แล้วทีมชนะ 48 ครั้ง (รวมกับแมนฯซิตี้ด้วย)
5 เคน ดาวซัลโว ดาร์บี้
แฮร์รี เคน คือทอปสกอร์ของลอนดอน ดาร์บี แซง เธียร์รี อองรี ที่ 14 ลูก ใน 18 เกมแถมยังเป็นนักเตะที่ยิงประตูนัดเยือนมากสุดในยุคพรีเมียร์ลีก ประตูล่าสุดคือลูกที่ 100
ชัยชนะอย่างงดงามของอาร์เซนอล ทำให้พวกเขารักษา "จ่าฝูง" ต่อไปจากการออกตัวอย่างยอดเยี่ยมสุดๆ ชนะ 7 แพ้ 1 มี 21 คะแนน
*************
จากลอนดอนตอนเหนือขึ้นมายังเมอร์ซีย์ไซด์ ในเกมสุดมันซัลโวกันสนั่นแอนฟิลด์
เกิดอะไรขึ้นที่นั่นกันบ้าง....น่าจะเป็นนัดที่แฟนหงส์หายใจไม่ทั่วท้องอีกแล้วววว
เกมรับหงส์มั่วมาก
เทรนต์ อเลกซานเดอร์-อาร์โนลด์ น่าจะโดนวิจารณ์ต่อไปจากการมีส่วนนำทีมไปสู่การเสียประตู 2 ลูกแรก จากนาที 3.48 จังหวะโหม่งบอลสกัดมาหน้าเขตโทษตัวเอง แล้วโดนไบรท์ตันเก็บบอลสองได้ ซึ่ง เฮนโด กับ ฟาบินโญ ก็พลาดไม่เล่นบอล ทำให้ บอลหลุดมาถึง ทรอสซาร์ ที่หลอก เทรนต์ (ลื่นล้มหลังโดนหลอก) ได้แล้วหลุดเข้าไปยิง 1-0 จากนั้น เทรนต์พักอกเล่น โดน เวลเบค ฉกบอลได้ ก่อนพามาเล่นหน้าไลน์หงส์ ทำชิ่งเร็วบอลถึง ทรอสซาร์ ยิงง่ายๆเลย 2-0
การป้องกันเกมรับของลิเวอร์พูล สะเปะสะปะ ดูไม่รัดกุม มั่วไปหมด จนโดน 2 ลูก
แถมลูกสามที่ไบรท์ตันตีเสมอจากจังหวะขึ้นบอลด้านเทรนต์ แล้วเปิดเข้ามา เป็น ฟานไดจ์ สกัดบอลพลาด....ไปเข้าทาง ทรอสซาร์ แฮทริก
ไบรท์ตัน เล่นดีจริง
แม้เปลี่ยนโค้ชจาก เกรแฮม พอตเตอร์ เป็น มาเป็น โรแบร์โต เดอ แซร์บี้ แต่แนวทางไม่เปลี่ยน เริ่มจากการเพรสเข้าบอลเร็วของ ไบรท์ตันทำให้ลิเวอร์พูล เล่นยาก ถ้าไม่นับการเสียประตู ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูลเพรสใส่แดนบน แต่ไบรท์ตัน แกะออกมาได้ และไม่รู้สึกตกใจอะไรกับการโดนเพรส
จะว่าไปไบรท์ตันเล่นได้ดีในครึ่งชั่วโมงแรก แต่หลังจากนั้นเริ่มถอยไปตั้งรับ เพราะหงส์แดงตั้งเกมได้บ้าง ก่อนเสียประตู
เกมรุกหงส์พอได้
ประตู 2-1 สำคัญอย่างยิ่ง น.33 จังหวะ หลังไบรท์ตัน ลอยไปหน่อย ซาลาห์ เดี่ยวก่อนยิงแป้กบอลเข้าทาง ฟีร์มีโน เป็นประตูที่ทำให้ยังอยู่ในเกม ก่อนที่ครึ่งหลังจะมายิงแซง 3-2 จากการประสานงานของ ดิอาส, ฟีร์มีโน และความผิดพลาดของ ซานเชส ที่ชกบอลไม่โดน บอลตกใส่ตัว เวบส์เตอร์ เข้าประตูไป 3-2 เหมือนทุกอย่างน่าจะอยู่ในการควบคุม แต่แล้วการป้องกันของลิเวอร์พูล ก็ทำให้ทีมเสีย2 แต้ม
บทสรุปเกมนี้..... ปัญหาใหญ่ที่มาเพิ่มของเจเค และเป็นสิ่งที่อาจจะแก้ยากนั่นคือ "การป้องกัน" บรรดานักเตะเกมรับทุกคนสลับหน้ากันเล่นพลาด ไม่แข็งแกร่งเหมือนที่เคย ยกเว้น เบคเกอร์ คนเดียว
เกมรับกลายเป็นปัญหาใหญ่ของลิเวอร์พูล
อย่างแรกเลย....หยุดการเสียประตูแรกให้คู่แข่งก่อน
เล่นมา 7 นัดในพรีเมียร์ลีก เสียประตูให้คู่แข่งก่อนถึง 5 นัด