เส้นทางสู่งานในฝัน "เลี้ยง" อธิคุณ นักวิเคราะห์เกมประจำทีมอาร์เซน่อล

เส้นทางสู่งานในฝัน "เลี้ยง" อธิคุณ นักวิเคราะห์เกมประจำทีมอาร์เซน่อล
"ความบ้าบอล" ของแต่ละคนมีความแตกต่างกันไป บางคนอยากเป็นนักกีฬา บางรายอยากเป็นนักข่าวกีฬา หรือกระทั่งบางคนอยากทำอะไรก็ได้ที่มันเกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้

ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา บนหน้าสื่อโลกออนไลน์ เราได้เห็นชื่อ "เลี้ยง" อธิคุณ ปิ่นทอง โผล่ขึ้นมาเต็มหน้าฟีด เขากลายเป็นที่รู้จักของใครหลายคนในชั่วพริบตากับการที่เป็นคนไทยได้เข้าไปส่วนหนึ่งของสโมสรชื่อดังแห่ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง อาร์เซน่อล ในฐานะนักวิเคราะห์ทีมชุดอายุไม่เกิน 14 ปี

และนั่นคือสิ่งที่ต่อยอดจาก "ความบ้าฟุตบอล" ของหนุ่มวัย 23 ปีจนสามารถก้าวหน้ามาได้ไกลถึงขนาดนี้

คุณจตุพล ปิ่นทอง และคุณสาริศา ปิ่นทอง ซึ่งเป็นคุณพ่อคุณแม่ของนักวิเคราะห์ทีมอาร์เซน่อล ยู-14 ชาวไทย

ทั้งสองท่านสละเวลาให้แก่ทีมงาน Siamsport เพื่อเล่าถึงชีวิตลูกชายตั้งแต่ก้าวแรกที่ได้เข้ามาอยู่ในโลกฟุตบอล

โตจากหลักพุทธศาสนา

"เลี้ยง" คือลูกคนโตจากพี่น้องชายล้วน 3 คนในตระกูลปิ่นทอง(เลี้ยง, เฮ้า, ฮุย) พื้นเพของคุณพ่อเป็นคนชอบฟุตบอล ส่วนคุณแม่อาจไม่รู้เชิงลึก แต่ก็ค่อย ๆ ซึบซับจากการที่ลูก ๆ และสามีต่างรักกีฬาชนิดนี้

ด้วยความที่ตอนเด็ก ๆ "เลี้ยง" อาจจะยังไม่ถนัดเรื่องการเรียนสักเท่าไหร่ แล้วกอปรกับผู้ปกครองไม่ได้กังวลว่าลูกจะเรียนเก่งหรือไม่ เพียงแต่ขอให้มีระเบียบวินัย และเน้นการลงมือทำ คุณแม่จึงได้เบนเข็มส่ง "เลี้ยง" เข้าเรียนที่โรงเรียนทอสี ที่ขึ้นชื่อเรื่องการให้เด็ก ๆ เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ และนำหลักการของพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน

แล้วพอจบจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 "เลี้ยง" เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน สถาบันที่ขึ้นชื่อเรื่องลูกหนัง และตอนช่วงวัยนี้เองที่ "เลี้ยง" ได้เริ่มรู้จักกับกีฬาที่ชื่อว่า "ฟุตบอล" 

จุดเริ่มต้นสู่กีฬาลูกหนัง

คุณพ่อเล่าว่า ช่วงประมาณม.1 ลูกชายคนโตรายนี้เริ่มดูเกมฟุตบอลแบบเต็มเวลา 90 นาที โดยส่วนใหญ่คือชมเกม พรีเมียร์ลีก เพราะลีกนี้แข่งขันในช่วงเวลาที่เด็กสามารถดูได้

"เลี้ยง" มีความสนใจในกีฬาฟุตบอลมากจนถึงขนาดที่ว่าหากผู้เล่นคนไหนที่เล่นไม่ได้ดั่งใจก็จะตะโกนต่อว่าออกมาตามประสาเด็ก ๆ 

ด้านคุณพ่อเองก็ส่งเสริมสิ่งนี้ด้วยการส่ง "เลี้ยง" พร้อมด้วยน้องชายอีก 2 คนเข้าเรียนอะคาเดมี่ฝึกฝนศาสตร์ฟุตบอลตามสถาบันต่าง ๆ อย่าง MBF และ Arsenal Soccer Schools พอชั้นม.ปลาย ก็เข้าฝึกที่ INTER Thailand Football Academy


ถามว่าทำไมต้องทำถึงขนาด ก็เป็นเพราะทั้งคุณพ่อกับคุณแม่อยากให้กีฬาอยู่ในชีวิตประจำวันของลูก ๆ 

แน่นอน ความฝันของเด็กผู้ชายส่วนใหญ่คือการได้เป็นนักฟุตบอล ซึ่ง "เลี้ยง" เองก็มีฝันดังกล่าว 

จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่า "เลี้ยง" เตะฟุตบอลไม่เก่ง เพียงแต่ว่าการจะไปยังระดับสูงมันไม่ใช่ทุกคนจะทำได้

"เลี้ยง" เคยคัดตัวเพื่อเป็นนักกีฬา แต่เขาก็ทำได้แค่เพียงเตะฟุตบอลกับเพื่อน ๆ และลงแข่งในระดับชั้น

ซึ่งนั่นทำให้เขาได้เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ที่เคยเผชิญมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...

การศึกษาคือการลงทุน

หลังผ่านชีวิตมัธยมปลาย เส้นทางต่อไปคือการเรียนต่อมหาวิทยาลัย

"เลี้ยง" ลังเลว่าจะเข้าเรียนหลักสูตรบริหาร เพื่อนำมาต่อยอดกับธุรกิจของครอบครัว แต่ด้วยความที่ชื่นชอบฟุตบอลขั้นสุด เขาจึงได้ปรึกษาคุณพ่อ คุณแม่เพื่ออยากจะเรียนตามสิ่งที่ต้องการ

เส้นทางที่ "เลี้ยง" เลือกคือการวิเคราะห์ฟุตบอล แล้วการจะได้ซึ่งความเข้นข้นถึงแก่นแท้ในเรื่องฟุตบอลนั้น ประเทศอังกฤษ คือสิ่งที่ตอบโจทย์ได้ 

อย่างไรก็ตาม ฐานะทางบ้านไม่ได้จะเอื้ออำนวยสักเท่าไหร่ คนในครอบครัวจึงหารือกันว่าประเทศออสเตรเลีย น่าจะเป็นที่ที่เหมาะสมมากกว่า

แต่ "เลี้ยง" ก็ยืนหยัดในความคิดของตัวเองที่ว่าไม่มีที่ไหนที่จะได้ความรู้เท่ากับดินแดนลูกหนังแห่งแรกของโลกอีกแล้ว

ประเทศต่าง ๆ อย่าง สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ต่างมีหลักสูตรเกี่ยวกับฟุตบอลก็จริง แต่ที่เหล่านั้นเน้นในเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬามากกว่า ซึ่งมันไม่ตรงกับสิ่งที่ "เลี้ยง" ต้องการคือการเป็นนักวิเคราะห์ฟุตบอล

ขณะที่ตัวคุณพ่อรวมถึงคุณแม่ที่สนับสนุนลูกชายเสมอมาก็ได้ทำการบ้านส่งเสริมจนตัดสินใจที่จะลงทุนให้แก่ "เลี้ยง" ด้วยการแปลงอสังหาฯ ที่เดิมที่จะเก็บไว้ใช้ยามชราแปลงเป็นการศึกษาเพื่ออนาคต เพราะทั้งสองต่างรู้สึกโทษตัวเองว่าไม่สามารถซัพพอร์ตให้ลูกเป็นนักกีฬาได้ และถ้าจะเป็นการแก้ตัวเรื่องนั้น ทั้งคู่จึงตัดสินใจยอมทำตามที่ "เลี้ยง" ใฝ่ฝัน แม้ว่าในใจลึก ๆ ยังรู้สึกหวาดหวั่นว่าลูกจะทำได้หรือเปล่า

ถึงแม้ "เลี้ยง" จะไม่ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงลอนดอน แต่เพราะด้วยคำที่คุณแม่บอกคือ "เก่งจริงอยู่ที่ไหนก็ดีได้" เขาจึงมุ่งไปยัง เซาธ์แฮมป์ตัน ทางตอนใต้เกาะอังกฤษ ศึกษาคณะ Football Studies ที่ Southampton Solent University 

อุปสรรคด้านภาษา

การจะไปเรียนต่อยังต่างประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของภาษา 

ตามที่คุณแม่บอกเล่าคือ "เลี้ยง" ไม่ได้มีภาษาดีตั้งแต่แรก แต่ด้วยความโชคดีที่มี เอ็ดเวิร์ด คุณครูฝรั่งในหมู่บ้านเดียวกันคิดราคาไม่แพง จึงได้ลงเรียนกับครูท่านนั้น โดยหลัก ๆ คือเน้นการพูดคุย 

จนต่อยอดลงเรียนคอร์สพิเศษเพื่อติวเข้มเรื่องการสอบ IELTS ซึ่งเป็นข้อสอบที่ทุกคนต้องเคยผ่านหากต้องการจะไปศึกษาต่อที่ อังกฤษ

ด้วยความที่คุณพ่อชอบฟังเพลงสากลเป็นทุนเดิมจึงทำให้ "เลี้ยง" ได้ซึบซับการฟังมาบ้าง และเน้นย้ำการเรียนภาษาอังกฤษคือต้องฟัง, พูด, อ่าน, เขียนเพื่อให้ได้ความคุ้นชิน

ก้าวแรกที่ อังกฤษ...

ปี 2018 เป็นปีที่ "เลี้ยง" โบยบินไปไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเขาเองได้ไปกราบท่านชยสาโร ที่โรงเรียนทอสี โดยท่านได้สอนให้มีสติที่จะทำหรือไม่ทำในสิ่งดีหรือไม่ดี

“เลี้ยง” อาศัยที่เมืองเซาธ์แฮมป์ตัน อยู่กับคนไทยที่รู้จัก และเกื้อกูลกัน ช่วงระหว่างนั้น "เลี้ยง" ก็ทำงานร้านอาหารไปด้วย ทำหน้าที่ตั้งแต่เสิร์ฟอาหารไปจนถึงเป็นเชฟเองเลย

ชีวิตปีแรกคือการลงเรียนเพื่อปรับภาษา ซัมเมอร์แรกผ่านไปเขาเจอกับความท้อแท้ เพราะสิ่งที่เรียนยังไม่ถูกใจตัวเองสักเท่าไหร่

ในหัวของเขามีไอเดียเรื่องการทำคลิปวิเคราะห์เกี่ยวกับฟุตบอล ซึ่งเป็นสิ่งที่ในเมืองไทยมีคนทำน้อยมาก

ช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ เด็กคนอื่นอาจต้องการพักผ่อนเพื่อผ่อนคลาย แต่ "เลี้ยง" บินกลับมายังประเทศไทย แล้วต่อยอดจากความคิดเรื่องคลิปวิเคราะห์ฟุตบอล

จนเขาได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้รู้จักเพจ "The Next Coach" ที่มี อ็อตโต้ โค้ชวัยละอ่อนเป็นแอดมิน และต่อมาทั้งคู่ก็ได้ร่วมงานกัน

จากนั้น "เลี้ยง" เปิดประสบการณ์กับทีมชาติไทย ยู-19 และได้รับความรู้เพิ่มเติมจาก "โค้ชหระ" อิสสระ ศรีทะโร รวมถึงโค้ชซัลบาดอร์ บาเลโร การ์เซีย ในแคมป์ช้างศึก ยู-16 อีกด้วย

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

ปีที่สองกับชีวิตที่เมืองผู้ดี เกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกนั่นคือ โรคระบาดโคโรน่าไวรัส

แน่นอนว่า "เลี้ยง" รวมถึงครอบครัวก็โดนพิษจาก โควิด-19 เช่นกัน

ที่เมืองไทย ธุรกิจทางบ้านอย่าง คูลลิฟวิ่ง ฟาร์มเฮ้า (Coolliving Farmhouse) ซึ่งเป็นธุรกิจฟาร์มสเตย์ โรงแรมแนวออร์แกนิค ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จึงทำให้เกิดความลำบาก ติดขัดเรื่องหนี้สินจนส่งผลไปยังลูกชายที่เรียนอยู่เมืองนอก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเจอวิกฤต แต่ก็เหมือนเป็นโอกาสที่ทำให้ "เลี้ยง" ได้ฝึกงานอย่างเต็มที่กับสโมสร อ๊อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด ยู-18 และได้เผชิญโลกตัวคนเดียวท่ามกลางความไม่แน่นอนของโรคระบาดนั้น

นอกจากนี้ที่ อ๊อกซ์ฟอร์ด เขาได้เรียนรู้กับความไม่สมบูรณ์แบบ 

ขณะที่ทีมอื่น ๆ เวลาวิเคราะห์การเล่นจะมีการตั้งกล้องสูงให้นั่งทำงานได้ไม่ลำบาก แต่ที่นี่ทุกอย่างต้องทำด้วยตัวเองเริ่มจากตั้งกล้องเอง และนั่งวิเคราะห์เอง

ตลอดการทำหน้าที่ฝึกงานที่ อ๊อกซ์ฟอร์ด 6 เดือน "เลี้ยง" เติบโตขึ้นมาก แล้วจากนั้นก็ไปเรียนรู้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ชุดรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี

ความจริง "เลี้ยง" เคยพลาดหวังจากการสมัครที่สโมสร เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เพราะจากการที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป

"อยากทำทีมชุดใหญ่เลย" เขาตอบแบบนั้นกับทีมงานสัมภาษณ์ของทีม "เดอะ แฮมเมอร์ส" จนทำให้ "เลี้ยง" ไม่ได้ไปต่อกับสโมสรนี้

ขณะที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เขาก็ได้สัมภาษณ์เช่นกันแต่ "เดอะ ฟ็อกซ์" มองว่ามีคนที่เหมาะสมกว่า...

ที่สโมสรเซาธ์แฮมป์ตัน "เลี้ยง" ใช้เวลาที่นี่เกือบ 2 ปี และกับการได้สัมผัสการทำงานในทีมชุดเด็กของ "เดอะ เซนต์ส" ทั้ง ยู-12, ยู-13 และ ยู-18 ทำให้ในช่วงปรี-ซีซั่น เขาได้ประสบการณ์ไปร่วมแคมป์กับทีม ยู-18 ที่ประเทศอิตาลี อีกด้วย

สิ่งที่ทำมาก่อให้เกิดคุณค่า

"เลี้ยง" ได้เรียนรู้การทำงานแบบมืออาชีพกับสโมสรเซาธ์แฮมป์ตัน เขาได้ประสบการณ์จากที่นี่แบบเต็ม ๆ จนได้เรียนต่อปริญญาโท ที่ Chichester University สาขา Sports Performance Analysis ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากเมืองเซาธ์แฮมป์ตัน

หลังจบป.ตรี เขาก็เดินหน้าต่อปริญญาอีกใบทันที 

1 ปีกับการศึกษาระดับป.โท พร้อมทำกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ควบคู่ไปด้วย 

พอจบมา "เลี้ยง" พบว่า เลสเตอร์ ซึ่งเคยปฏิเสธสมัยฝึกงานได้ติดต่อ และเปิดรับตำแหน่งนักวิเคราะห์ แล้วในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ได้ยื่นสมัครไปยังสโมสรอาร์เซน่อล

ที่ผ่านมา "เลี้ยง" ทำคลิปวิเคราะห์ต่าง ๆ เพื่อเก็บไว้เป็น Portfolio 

โดยสิ่งที่ทำให้ อาร์เซน่อล เกิดความสนใจคือคลิปพูดปลุกใจเด็ก ๆ สมัยอยู่กับ เซาธ์แฮมป์ตัน รวมถึงเปิดวิดีโอให้เด็ก ๆ ดูเพื่อให้พวกเขาปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น

ซึ่งทาง "เดอะ กันเนอร์ส" ประเมินแล้วว่า คนไทยที่มีความฝันเป็นนักวิเคราะห์ฟุตบอลคนนี้ให้ความสนใจต่อเด็ก ๆ และมีทักษะในการกระตุ้น (Motivate) รวมถึงสร้างความสนุกให้แก่เด็ก ๆ ได้

จุดนี้เองที่ทำให้ "เลี้ยง" ได้มีโอกาสผ่านการสัมภาษณ์งานนี้ เพราะที่ อังกฤษ พวกเขาให้ความสำคัญแก่เด็ก ๆ เนื่องจากเด็ก ๆ เหล่านี้จะต่อยอดไปเป็นนักเตะอาชีพได้

และใครจะไปเชื่อว่า เด็กมัธยมในวันนั้นที่เคยเรียนฟุตบอลกับโรงเรียนฝึกฟุตบอลของ อาร์เซน่อล กำลังจะได้เข้าทำงานกับสโมสรแห่งนี้ในอีกไม่ช้า

วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม คือวันที่ “เลี้ยง” ได้ประกาศผ่านเฟซบุ้คส่วนตัวถึงความภาคภูมิใจว่าตัวเองได้ทำงานเป็นนักวิเคราะห์เกมให้กับสโมสร อาร์เซน่อล รุ่นอายุไม่เกิน 13 และ 14 ปี

และที่ขาดไม่ได้คือการกล่าวขอบคุณ คุณพ่อ และคุณแม่สองผู้มีพระคุณที่ทำให้เขาได้มีวันนี้

ความลับของพ่อกับแม่

สิ่งที่คุณพ่อสอนเสมอมาคือดูฟุตบอลให้สนุกมากกว่าการปักใจเชียร์ทีมใดทีมหนึ่ง

คุณพ่อให้เหตุผลว่าการมีทีมรักทำให้เกิดความผูกพัน และมีอารมณ์ร่วมมากเกินไป โดยคุณพ่อได้กระซิบบอกว่ามีแมตช์หนึ่งระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า คือเกมที่เป็นตัวอย่างถึงความมีเสน่ห์ของเกมฟุตบอล วันนั้น โรนัลดินโญ่ ในฐานะผู้เล่นทีมเยือน ได้รับเสียงปรบมือจากแฟนบอลเจ้าบ้าน อันมาจากความยอดเยี่ยมในความสามารถ

ซึ่งนั่นคงเป็นสาเหตุที่ตั้งแต่ยังเล็ก "เลี้ยง" ไม่ได้มีทีมไหนที่เชียร์เป็นพิเศษ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนชื่นชอบกีฬาฟุตบอล

อย่างไรก็ตาม จากที่เราได้สัมภาษณ์ "เลี้ยง" ก่อนหน้านี้ เขาเผยว่าปันใจให้แก่ เซาธ์แฮมป์ตัน เพราะผูกพันที่อยู่ที่เมืองนั้นมา 5 ปี

ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งคำสอนที่คุณพ่อได้บอกกับเราว่า การที่ "เลี้ยง" ได้ทำงานหน้าที่นี้ก็เป็นเหมือนหนึ่งในทีมสตาฟฟ์โค้ช อันดับแรกเลยคือต้องเป็นคนใจเย็น

สำหรับตัวคุณแม่นั้นคิดเสมอว่าการเรียนคือการลงทุน เมื่อยิ่งลงทุนมาก สิ่งที่ได้กลับมาก็จะมากตาม โดยหวังว่าสักวันหนึ่งอยากให้ลูกชายกลับมาช่วยทีมชาติไทย และนำความรู้มาพัฒนบ้านเกิดเมืองนอน

เรื่องราวของ "เลี้ยง" ถือเป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้แก่ทุกคนที่มีความรักในกีฬาฟุตบอล 

มันไม่ใช่ว่าทางเดินของเส้นทางนี้จะมีแค่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพเท่านั้น หน้าที่อื่น ๆ ยังมีให้เลือกอีกมาก เช่น Coaching, Training, Analysis, Fitness

ดั่งที่คุณพ่อของเขาได้กล่าวไว้ว่า

"อยากให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่ไม่สามารถเป็นนักฟุตบอล เป็นตัวจุดประกายว่าทุกคนสามารถอยู่ในเกมฟุตบอลได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักฟุตบอลเท่านั้น และการที่ไปอยู่จุดนั้น ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนไทย หากมีความตั้งใจ แน่วแน่ต่อสิ่งที่ตัวเองชอบ"

สิ่งที่สำคัญคือการได้รับสนับสนุนจากคนในครอบครัว 

จริงอยู่ว่า "เลี้ยง" โชคดีที่ทั้งพ่อและแม่ต่างสนับสนุนให้ทำในทางที่ถูก แต่มันจะไม่มีค่าเลยหากตัวคุณเองไม่ได้พิสูจน์ถึงความจริงจัง และความมุ่งมั่นในสิ่งสิ่งนั้น

เชื่อเถอะ คุณอยากเป็นอะไร ลองทำตามเสียงภายในของตัวเองดู แต่ต้องเป็นเรื่องที่ดีและถูกต้อง สำเร็จหรือไม่ค่อยว่ากัน ขอแค่ได้ทำในสิ่งนั้น ดีกว่าต้องมานั่งเสียดายภายหลัง แล้วอยากย้อนเวลากลับไป

-HOSSALONSO-


ที่มาของภาพ : -
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport