"เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำผลงานได้อย่างสุดยอดสมกับตำแหน่งเต็งหนึ่งจริงๆ หลังบุกมายัดเยียดความปราชัยให้กับ เบิร์นลี่ย์ 3-0 ในถิ่นเทิร์ฟ มัวร์ เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดเปิดซีซั่น 2023/2024 เมื่อวันศุกร์ที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา
เออร์ลิง ฮาลันด์ ยังคงโหดเหมือนเดิมโดยใช้เวลาไปแค่ 30 นาทีกว่าๆ ก็สามารถซัด 2 ประตู ส่วนอีก 1 ประตูได้จาก โรดรี้ ในช่วงครึ่งหลัง ขณะที่เจ้าบ้านเล่นด้วยความอดทน และมีบางจังหวะก็ทำให้ทีมเจ้าของทริปเบิ้ลแชมป์ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดันเช่นกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แอนด์ โค. ต้องลุ้นหนักก็คืออาการบาดเจ็บของ เควิน เดอ บรอยน์ หลังนักเตะลงสนามไปราวๆ 20 นาทีแต่ดันดวงแตกมีปัญหาบาดเจ็บเล่นต่อไม่ได้ งานนี้มันเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้นายใหญ่ชาวสแปนิช ต้องขบคิดว่าสภาพร่างกายของ จอมทัพชาวเบลเยียม จะสามารถกรำศึกหนักในซีซั่นนี้ได้อีกหรือไม่
1. สภาพร่างกาย เดอ บรอยน์
แฟนบอล แมนฯ ซิตี้ คงรู้สึกใจหายไม่น้อยเมื่อเห็น เควิน เดอ บรอยน์ มีอาการบาดเจ็บตั้งแต่ต้นเกมในแมตช์เปิดซีซั่น เพราะนั่นแสดงให้เห็นแล้วว่าสภาพร่างกายของเขาคงจะมีปัญหาพอสมควร เนื่องจากอาการแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนที่เล่นเกมนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ย้อนกลับไปในแมตช์ที่ปะทะกับ อินเตอร์ มิลาน ชิงโทรฟี่หูกาง จอมทัพทีมชาติเบลเยียม มีอาการเจ็บที่กล้ามเนื้อหลังต้นขา ตั้งแต่ช่วงกลางครึ่งแรก หลังจากนั้นตลอดช่วงซัมเมอร์นี้นักเตะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาฟิตเต็มร้อย
สำหรับแมตช์เยือนเบิร์นลี่ย์ทุกอย่างดูเหมือนปกติดี แต่เล่นไปแค่ 20 นาทีกว่าๆ เดอ บรอนย์ ต้องเจอฝันร้ายตามมาหลอกหลอนอีกครั้ง เมื่อเขามีปัญหาบาดเจ็บจนต้องเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ไก่โห่ งานนี้บอกเลยว่าปัญหาของเขาอาจจะส่งผลเรื้อรังแน่นอน
ที่สำคัญอาการบาดเจ็บในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าสภาพร่างกายของ เดอ บรอยน์ ไม่แข็งแกร่งอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเจ็บง่ายขึ้น อาจเป็นไปได้ที่นักเตะใช้ร่างกายหนักมานาน กอปรกับอายุที่เข้าหลักสามเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นต่อจากนี้ไป เป๊ป คงต้องคิดให้ถ้วนถี่เวลาที่ใช้งาน สตาร์ชาวเบลเยียม เนื่องจากอาการบาดเจ็บอาจกลับมาได้ตลอดเวลา
2. ฮาลันด์ อย่างโหด
เริ่มต้นฤดูกาลแค่วันแรกก็จัดหนักจัดเต็มแบบไม่เกรงใจใครจริงๆ สำหรับ เออร์ลิง ฮาลันด์ หลังจากที่ฤดูกาลที่ผ่านมา เจ้าตัวทำผลงานโคตรโหดในการตะบันตาข่ายคู่แข่งเป็นว่าเล่น จนถึงซีซั่นปัจจุบันเขายังไม่ลด ละ เลิกในการไล่ยิงประตูคู่แข่ง
สำหรับซีซั่นเปิดตัว ฮาลันด์ ซัดไป 36 ประตูจากการเล่น 35 เกมในลีก พร้อมความรางวัลรองเท้าทองคำ แต่หากรวมสถิติตลอดทั้งซีซั่นนักเตะตะบันไป 52 ประตูจาก 53 แมตช์ แน่นอนว่าฟอร์มเพชฌฆาตของนักเตะคือกัญแจสำคัญนำไปสู่การคว้าทริปเบิ้ลแชมป์
แม้ว่าในช่วงอุ่นเครื่องปรีซีซั่น ดาวเตะชาวนอร์เวย์ อาจจะถูกแซวไปบ้างกับผลงานที่ไม่ค่อยดียิงประตูไม่ค่อยได้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเล่นเกมอย่างเป็นทางการ ฮาลันด์ จัดการใช้ผลงานปิดปากพวกเสียงวิจารณ์ได้อย่างอยู่หมัด
ฮาลันด์ ก็เหมือนฉลามเมื่อได้กลิ่วคาวเลือดสามารถกระซวกเหยื่อได้ทันที โดยแมตช์นี้เปิดฉากเพียง 4 นาทีนักเตะก็จัดการส่งบอลไปซุกก้นตาข่าย ขณะที่ประตูที่สองเจ้าตัวโชว์ทักษะการจบสกอร์ที่เฉียบคม นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าเมื่อถึงเวลาเอาจริงเขาก็งัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย
ตอนนี้ ฮาลันด์ เริ่มต้นไปแล้วสองประตูขณะที่คู่แข่งอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ, มาร์คัส แรชฟอร์ด และอีกหลายๆ คน ยังไม่ทันได้ลงสนาม บอกเลยว่าการขับเคี่ยวแย่งดาวซัลโวลีกคงได้สนุกเข้มข้นอย่างแน่นอน
3. เบิร์นลี่ย์ จบไม่คม
การได้เห็นลูกศิษย์ปะทะอาจารย์เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะนี่คือเกมที่ แว็งซองต์ กอมปานี ได้มีโอกาสพบกับทีมที่เขาใช้เวลามานานถึง 11 ฤดูกาลและเคยทำหน้าที่กัปตันทีม รวมทั้งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย และ คาราบาว คัพ 4 สมัย
สำหรับสาวก "เรือใบสีฟ้า" นั้น กอมปานี คือหนึ่งในตำนานของสโมสร เพราะเข้ามาอยู่กับทีมในยุคสร้างตัว จนกระทั่งผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และครอบครองความยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังเมืองผู้ดีตั้งแต่กลางยุค 2000 ฉะนั้นชื่อของเขายังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลเสมอ
บทบาทในการเป็นกุนซือของกอมปานี ต้องบอกว่าใช้ได้เลยทีเดียว เพราะเขาพยายามสร้างทีมในรูปแบบที่ได้รับการสั่งสอนมาจาก เป๊ป อย่างชัดเจน พยายามเล่นเกมบุกเน้นต่อบอลเพื่อหาพื้นที่ในการเจาะเข้าไปสร้างความอันตราย แต่ด้วยคุณภาพของตัวผู้เล่นอาจจะไม่สามารถจัดการกับแนวรับของแมนฯ ซิตี้ได้
อย่างไรก็ตามในช่วงกลางครึ่งแรกกับต้นครึ่งหลัง เบิร์นลี่ย์ ทำได้ดีมากๆ ในการเล่นอย่างอดทนและรอจังหวะความผิดพลาดของคู่แข่ง น่าเสียดายตรงที่พวกเขามีโอกาสจบสกอร์ แต่ขาดความเฉียบคมไปหน่อย ไม่อย่างนั้น แมนฯ ซิตี้ อาจจะต้องเหนื่อยหนักกว่านี้ชัวร์
4. แมนฯซิตี้ ผิดพลาดบ่อย
หากมองจากสกอร์ และผลงานโดยรวมคงต้องยอมรับว่าทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียด มันแสดงให้เห็นว่า แมนฯ ซิตี้ ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขพอสมควร โดยเฉพาะการเล่นที่ผิดพลาด !
นับตั้งแต่ที่ ฮาลันด์ ยิงประตูนำ 1-0 ตั้งแต่ไก่โห่ เบิร์นลี่ย์ ก็มีโอกาสที่จะจบสกอร์เช่นกัน โดยเฉพาะจังหวะการส่งบอลที่ผิดพลาดหลายครั้งที่ทำให้แนวรุกของเจ้าบ้านมีโอกาสได้ยิงประตู แต่โชคดีที่คู่แข่งดันขาดความเฉียบคม ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ของทีมอาจจะมีปัญหาก็ได้
เชื่อว่าช่วงพักครึ่ง กวาร์ดิโอล่า คงจัดการสวดยับไม่นับญาติลูกทีมของเขาแน่นอน เพราะการจ่ายบอลที่ผิดพลาดแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ กับทัพ "เรือใบสีฟ้า" แต่สำหรับแมตช์นี้ต้องบอกว่าพวกเขาทำพลาดเยอะมากในช่วงกลางครึ่งแรก หากคิดในแง่บวกอาจเพราะทีมยังไม่เข้าที่เข้าทางต้องใช้เวลาปรับจูนอีกนิดหน่อย
กระนั้นลองนึกภาพถ้าเจอทีมที่จบสกอร์คมๆ อย่าง ลิเวอร์พูล หรือแมนฯ ยูไนเต็ด ผลการแข่งขันคงไม่ออกมาแบบนี้ ด้วยเหตุนี้ เป๊ป จำเป็นต้องกำชับลูกทีมอย่างเล่นผิดพลาดมากเกินไป เพราะความผิดพลาดครั้งหรือสองครั้งอาจนำหายนะมาสู่ทีมได้เลย
5. สมราคาทริปเบิ้ลแชมป์
ไม่แปลกใจที่ แมนฯ ซิตี้ ยังคงเป็นทีมเต็งหนึ่งในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เพราะฟอร์มของพวกเขายังคงโหดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเกมรุกที่มีความดุดัน และกระหายที่จะกระซวกคู่แข่ง ขณะที่เกมรับยังคงต้องปรับปรุงอยู่บ้าง
การที่ทีมขาด อิลคาย กุนโดกัน พวกเขาก็ได้ มาเตโอ โควาซิช มาอุดช่องโหว่ตรงจุดนี้ และนักเตะก็ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อลงมาแทน เดอ บรอยน์ ตั้งแต่ต้นเกม ทั้งการเก็บบอล คุมจังหวะการเล่น และผ่านบอลสวยๆ ให้แดนหน้า ถือว่าสอบผ่านเลยทีเดียว
ภาพรวมในแมตช์นี้ต้องยอมรับว่าทัพ "สำเภาทอง" ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม อาจต้องปรับจูนในบางจุดเท่านั้นเพื่อเกิดความสมบูรณ์ งานนี้บอกเลยว่าทีมคู่แข่งที่คิดจะหาญกล้ากระชากพวกเขาตกจากบัลลังก์ความยิ่งใหญ่จะต้องรักษามาตรฐานของตัวเองให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้อย่าหวังทาบรัศมี แมนฯ ซิตี้ !!
ทอมเม้ง