บทสัมภาษณ์ของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในวันแรกที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ หยิบมาอ่านตอนนี้มันก็น้ำตาซึมเหมือนกันนะครับ
"ตอนนี้ผมตั้งตารอที่จะได้เจอกับอนาคตที่ดี และแน่นอนว่าการได้มาเล่นที่นี่ถือเป็นโอกาสชั้นยอดสำหรับผม ผมตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก ๆ "
"การมาอยู่กับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ระดับ ลิเวอร์พูล มันก็ทำให้จะต้องมีการสู้เพื่อแย่งตำแหน่งอยู่ตลอดเป็นธรรมดา"
"หวังว่าผมจะยังทำงานอย่างหนักได้ต่อไป, พัฒนาตัวเองได้ต่อไป และได้รับโอกาสลงไปเล่นในสนามนะ"
เวลาผ่าน 12 ปี นายมาได้ไกลกว่าวันนั้นเยอะเลย
.
.
.
สมัยเป็นดาวรุ่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มีทักษะโดดเด่นเหนือเด็กอังกฤษร่วมรุ่นคนอื่น ๆ
มีคลิปหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเดาะบอลจนเรียกเสียงฮือจากเพื่อน ๆ รอบข้าง
ตอนอยู่ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปีของ ซันเดอร์แลนด์ เขาเป็นหนึ่งในขุนพลทีม ยู-18 คว้าแชมป์ลีกสองสมัยติด ฝีเท้าพัฒนาจนถูกเรียกติดทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 18 ปี และถูกปล่อยไปเก็บประสบการณ์ระยะสั้นๆ ที่ โคเวนทรี 6 เดือน ตอนมกราคม 2009
จากนั้นก็กลับมาเป็นตัวหลักของ ซันเดอร์แลนด์ ในวัยไม่ถึง 20 ปี
ซัมเมอร์ปี 2011 เฮนเดอร์สัน ถูกจับตามองมากขึ้นหลัง เคนนี่ ดัลกลิช ดึงเขามาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยเม็ดเงิน 20 ล้านปอนด์
เงินจำนวนนี้ถือว่าสูงมากกับนักเตะที่อายุแค่ 21 ปี และช่วงแรกกับชีวิตที่บ้านหลังใหม่ เฮนเดอร์สัน ต้องแบกความกดดันเรื่องค่าตัวบนบ่าทั้งสองรวมถึงการมาของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ตอนนั้น ก็เกือบทำให้เขาต้องย้ายออกจากทีมก่อนเวลาอันควร
"ผมจำได้ว่า เขาย้ายจาก ซันเดอร์แลนด์ เข้ามาอยู่กับทีมในสภาพที่เป็นเด็กหนุ่มขี้อาย และครอบครัวของเขาก็บอกให้ผมคอยจับตาและดูแลเขาให้ดี ๆ " สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมลิเวอร์พูลในตอนนั้น ย้อนความหลังถึงดาวเตะรุ่นน้อง
เจอร์ราร์ด ถือเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือในตอนที่ เฮนเดอร์สัน ตอนช่วงแรก ๆ ในถิ่นแอนฟิลด์
เจอร์ราร์ด คือคนแรกที่สัมผัสได้ว่า เฮนโด้ ต้องต่อสู้หนักมากแค่ไหนเพื่อทำให้คนที่กังขาในตัวเองยอมเปลี่ยนความคิด
"ผมรู้จัก จอร์แดน มากกว่าหลาย ๆ คน และผมรู้ดีว่าเขาสามารถทำอะไรได้ ผมรู้ว่าเขาต่อสู้อย่างหนักแค่ไหน, รู้ว่าเขาทำงานหนักเพียงใด, รู้ว่าเขาต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง และรู้ว่าเขาให้ความช่วยเหลือคนอื่น ๆ มากแค่ไหน"
ซึ่งชีวิตที่ ลิเวอร์พูล หลังผ่านไปขวบปีแรกของ เฮนเดอร์สัน นั้น มันไม่ง่ายเลย
ซัมเมอร์ปี 2012 ร็อดเจอร์ส อยากได้ คลินท์ เดมพ์ซี่ย์ ของ ฟูแล่ม เอามาก ๆ ถึงขั้นยอมส่ง เฮนเดอร์สัน ไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน จะว่าไปมันก็โหดร้ายกับเขาเหมือนกัน กับการที่กำลังจะถูกแลกกับผู้เล่นวัยใกล้ 30 แถมยังเพิ่งอยู่กับทีมได้แค่ปีเดียว
เหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้นตอนช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี ที่โรงแรม โฮป สตรีท ใจกลางเมืองลิเวอร์พูล
ก่อนเกมยูโรปา ลีก รอบเพลย์ ออฟ ที่จะพบกับ ฮาร์ทส์
บี-ร็อด เดินเข้ามาพร้อมคำพูดหนึ่งประโยคที่ติดอยู่ในใจของ เฮนเดอร์สัน
"เบรนแดน โทรหาผมแล้วพูดว่า -ฟังนะ, นี่คือข้อเสนอ(แลกกับ เดมพ์ซี่ย์)- เขาถามว่าผมคิดยังไงกับดีลนี้" เฮนโด้ เล่า
สิ้นเสียงจากปากกุนซือไอแลนด์เหนือ เฮนเดอร์สัน หลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ มันเป็นความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงเขากำลังจะลงแข่งในคืนนั้น
"ผมไปคุยกับเอเยนต์ และบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ผมบอกไปว่าผมไม่อยากจะย้ายออกเลย ผมต้องการอยู่และสู้ต่อ จะพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้จัดการทีมคิดผิด"
จากนั้น เฮนเดอร์สัน โทรหาคุณพ่อเพื่อระบายความรู้สึก และย้ำความต้องการของตัวเองว่าจะอยู่เพื่อสู้ต่อ
ฝ่ายคุณพ่อ ไบรอัน ฟังแล้วก็เสียใจไม่แพ้กัน ซึ่งท่านก็ไม่ขัดอะไรและพร้อมหนุนหลังตามความต้องการของลูกชาย จากจุดที่ เฮนโด้ ยืนอยู่ตอนนั้น เขารู้ตัวดีว่าโอกาสลงสนามมีไม่มาก
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ เฮนเดอร์สัน ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ มาจากฟอร์มการเล่นที่ขึ้น ๆ ลง ๆ บางวันดี บางวันแย่
สิ่งเดียวที่จะทำได้คือทำงานหนักเข้าไว้ เฮนเดอร์สัน มีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจ ร็อดเจอร์ส ในหัวของเขาไม่เคยมีคำว่า 'ย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล' เลย
แต่ เฮนเดอร์สัน เป็นคนที่พร้อมปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ เขาเดินไปถาม ร็อดเจอร์ส ตรง ๆ เลยว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เป็นตัวจริง
โชคเข้าข้าง เมื่อ ร็อดเจอร์ส พร้อมให้โอกาสและไม่ได้บังคับให้ เฮนเดอร์สัน ต้องออกจากทีม ร็อดเจอร์ส เปิดคลิปให้ เฮนเดอร์สัน ดู แล้วอธิบายข้อผิดพลาดของ เฮนเดอร์สัน ว่ามีอะไรบ้าง จากนั้นก็ถามกลับว่า "อยากจะแก้ไขมันไหมล่ะ? "
จากเดิม เฮนเดอร์สัน เป็นคนที่ขยันทำงานหนักอยู่แล้ว ถึงตอนนี้ความขยันนั้นมันเพิ่มจากเดิมเป็น 10 เท่า
ในที่สุด เฮนเดอร์สัน เอาชนะใจ ร็อดเจอร์ส เขายึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างสง่าผ่าเผย ความก้าวหน้าทางอาชีพกำลังเติบโต ผลงานของทีมก็กำลังไปได้ดี ทว่าตอนฤดูใบไม้ร่วง ปี 2013 ซึ่งเป็นซีซั่นที่ ลิเวอร์พูล ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แมนฯ ซิตี้
ไบรอัน พ่อของเขาถูกตรวจพบว่ามีเชื้อมะเร็งตรงคอ หลังแพทย์เจอตอนที่เขาเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ แต่ ไบรอัน ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับลูกชาย เพราะเห็นว่าช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากขืนบอกไปก็กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อจิตใจจนลามไปถึงผลงานในสนาม
ช่วงต้นปี 2014 เฮนเดอร์สัน ทราบเรื่องนี้ก่อนวันที่พ่อจะเข้ารับการบำบัดไม่กี่วัน ตอนนั้นเขารู้ตัวเลยว่านอกจากฟุตบอลแล้วอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด มันเป็นช่วงเวลาที่โหดร้าย เขาทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่เกิดขึ้นมันยากจะเข้าใจ
เฮนโด้ ไม่ค่อยได้เจอกับพ่อมากนัก หลังเข้ารับการบำบัดครั้งแรก ร็อดเจอร์ส อนุญาตให้กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อได้ตามที่ต้องการ แต่ ไบรอัน สั่งไม่ให้ลูกชายมาหาเพราะเขาไม่ต้องการให้ จอร์แดน เห็นความเจ็บปวดตอนรักษาและไม่อยากให้ลูกชายมีภาพติดตาที่ไม่ดีกลับไป
สิ่งเดียวที่ เฮนเดอร์สัน ทำได้คือพยายามเล่นให้ดีที่สุดในทุก ๆ เกมการแข่งขัน และมันก็เป็นแบบที่เขาตั้งใจเพราะ ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะติดต่อกันได้หลายต่อหลายนัด
ปี 2015 สตีเว่น เจอร์ราร์ด อำลาทีม ปลอกแขนกัปตันตกเป็นของ เฮนเดอร์สัน แต่ก็ไม่แคล้วตัวเขาโดนวิจารณ์ว่ามีคุณสมบัติไม่เหมาะที่จะสืบทอดตำแหน่งนี้จากกัปตันคนก่อน
อย่างไรก็ตาม กัปตันเฮนโด้ ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักต่อไป เขาถือคติว่า อะไรที่ไม่ดีที่เขาโดนต่อว่ามันคือแรงกระตุ้นที่จะทำให้ตัวเองเก่งขึ้น
"ตลอด 3 ปีครึ่งที่ผมทำงานกับ ร็อดเจอร์ส ผมเรียนรู้อะไรมากมายจากเขา เขาเป็นคนใจดีมากเมื่อถึงเวลาที่จะอธิบายสิ่งที่เขาต้องการจากตัวคุณในแง่ของการปรับปรุงและพัฒนา" เฮนเดอร์สัน กล่าวถึง ร็อดเจอร์ส
ตุลาคม ปี 2015 ลิเวอร์พูล เปลี่ยนมือจาก ร็อดเจอร์ส มาเป็น เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ เฮนเดอร์สัน ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพราะ คล็อปป์ มองเห็นสิ่งที่เขาทุ่มเทอยู่เสมอ
เฮนเดอร์สัน ทำได้ดีในการแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ สิ่งนี้มันฝังลึกเข้าไปในสายเลือด ไม่ว่าเรื่องในหรือนอกสนามเขายินดีที่จะทำงานที่คนอื่นไม่อยากทำ เขาเกลียดการเน้นทำเรื่องส่วนตัวเป็นหลัก
สำหรับ เฮนเดอร์สัน สิ่งที่สำคัญคือ การช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมเพื่อให้เพื่อน ๆ เล่นได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาต้องการให้บรรดาเพื่อนร่วมทีมได้มีชื่อเสียง ต่อให้ตัวเองจะไม่ได้สัมผัสกับสิ่งนั้นก็ตาม
หน้าที่ของ เฮนเดอร์สัน ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในสนาม เขาทำทุกอย่างเพื่อทีม คำว่าทีมคือสิ่งสำคัญที่สุด เขาพยายามทำให้ในห้องแต่งตัวมีบรรยากาศที่ดี พยายามทำให้ทุกคนทำงานเพื่อกันและกัน
ส่วนนอกสนามเขาก็จะทำให้เพื่อน ๆ มีความสามัคคี เป็นกลุ่มเป็นก้อนสนิทกันชนิดเป็นเพื่อนตายได้ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากสิ่งที่เขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นั่นคือนิสัยของ เฮนเดอร์สัน
ปี 2018 นำเพื่อนร่วมทีมลงสู่สนาม สวมปลอกแขนกัปตันทีม แต่ ลิเวอร์พูล พลาดท่าต่อ เรอัล มาดริด 1-3
อย่างไรก็ตาม คำว่า "ท้อ" ไม่เคยมีอยู่ในตัว จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
ปี 2019 เฮนโด้ ก้าวสู่นัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง และคราวนี้ เขาเป็นคนขึ้นชูถ้วยแชมป์ต่อหน้าคนหลายหมื่นคนที่ ว่านต๋า สเตเดี้ยม กรุงมาดริด
และปีต่อมา จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลายเป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูล คนแรกในรอบ 30 ปีที่ได้ชูถ้วยแชมป์ลีกสูงสุด เมืองผู้ดี ซึ่งคนที่ส่งมอบโทรฟี่ พรีเมียร์ลีก ให้กับเขาคือ คิง เคนนี่ เจ้านายคนแรกของ เฮนโด้ ที่บ้านหลังนี้
"สำหรับ จอร์แดน ที่อยู่ตรงนั้น การได้ชูถ้วยแชมป์ลีก มันต้องทำให้เขาภูมิใจอย่างยิ่ง และผมก็ภูมิใจในตัวเขา"
"มันเป็นเกียรติสำหรับผมที่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อมอบเหรียญ และถ้วยแชมป์" เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช เผย
เมษายน ปี 2021 ท่ามกลางกระแสที่ว่า ลิเวอร์พูล จะออกไปร่วมกับทีมอื่น ๆ ก่อนตั้งลีกใหม่ ซูเปอร์ลีก เฮนโด้ ได้ออกมาตอบโต้ เห็นค้านกับเรื่องที่ว่า จนสุดท้ายต่อมา จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ ต้านกระแสไม่ไหวจนต้องออกมาขอโทษด้วยตัวเอง
"เราไม่ชอบ และเราไม่อยากให้มันเกิดขึ้น"
"นี่คือจุดยืนร่วมกันของเรา"
"เราทุ่มเทให้สโมสรฟุตบอลแห่งนี้และให้กับแฟนบอลของเราอย่างเต็มที่อยู่เสมอและทำโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ "
"คุณจะไม่มีวันเดินอย่างเดียวดาย" เฮนเดอร์สัน ประกาศชัด
สิงหาคม ปีเดียวกัน เฮนเดอร์สัน จรดปากกาต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2025
"ผมรักทุก ๆ นาทีที่นี่ แม้แต่ตอนที่ผมเจอช่วงเวลายากลำบาก ผมก็ยังสนุกกับการที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสโมสรฟุตบอลแห่งนี้
"ยิ่งผมทำมันได้นานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีขึ้นต่อตัวผม ผมต้องการอยู่ที่นี่ให้นานที่สุด ซึ่งผมก็พูดแบบนั้นมาโดยตลอด"
.
.
.
มีพบ มีอยู่ มีจาก วาระแห่งกาล แตกเพื่อเติบโต ทุกการพบเจอล้วนมีความหมาย
ขอให้โชคดีกับเส้นทางใหม่ และจะเป็นกำลังใจให้นายเสมอ
HOSSALONSO