เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ตกลงเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ด้วยการตอบรับคุมทีม เชลซี อย่างแน่นอนแล้วแม้ว่า สิงห์บลูส์ จะจบซีซั่น พรีเมียร์ลีก อย่างน่าช็อกด้วยการรั้งอันดับ 12 ของตาราง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสโมสรแห่งกรุงลอนดอนกลายสภาพจากสิงโตเป็นเพียงลูกแมวตัวน้อยนับตั้งแต่ทางการของเมืองผู้ดีบีบให้ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมชาว รัสเซีย ขายกิจการ แถม ท็อดด์ โบลีห์ เจ้าของใหม่ย้ายเข้ามาทำให้ทุกอย่างพังครืนไปหมด
ไล่ตั้งแต่ปลด โธมัส ทูเคิ่ล แบบตื่นตูมแล้วหันไปคว้า แกรม พ็อตเตอร์ ที่ยังไม่เคยพิสูจน์ตัวเองกับสโมสรยักษ์ใหญ่มากุมบังเหียน แถมซื้อนักเตะค่าตัวแพงหลายรายสวนทางกับฝีเท้า
เท่านั้นไม่พอ หลังสั่งเด้งอดีตผู้จัดการทีม ไบรท์ตัน นักธุรกิจชาวอเมริกันยังทำเซอร์ไพรส์หันไปฉุด แฟร้งค์ แลมพาร์ด อดีตนายใหญ่กลับมาคุมทีมแบบขัดตาทัพอีกต่างหากเมื่อช่วงเดือนเม.ย. และปรากฏว่าดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรพาทีมกำชัยชนะได้แค่นัดเดียวเท่านั้นจาก 11 นัด
กระทั่งล่าสุด หลังจากอดีตนายใหญ่ทีม สเปอร์ส และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ของสังเวียนแข้ง สแตมฟอร์ด บริดจ์ อย่างแน่นอนแล้วก็เป็นที่หวังกันว่า โบลีห์ จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเป็นครั้งแรกซะที
กระนั้นก็ดี กุนซืออาร์เจนไตน์ซึ่งมีกำหนดเริ่มต้นบทบาทใหม่ในวันที่ 1 ก.ค. มีงานใหญ่ต้องสะสางให้ได้อย่างน้อยสี่ข้อเพื่อพา เชลซี กลับไปอยู่ในจุดเดิมของพวกเขาอีกครั้ง
1. พัฒนาระดับความฟิตของนักเตะ
แลมพาร์ด บ่นอุบถึงระดับความฟิตของนักเตะ เชลซี นับตั้งแต่เขาหวนกลับมาคุมทีมเป็นคำรบสองซึ่งเจ้าตัวเชื่อว่าส่งผลกระทบทำให้ทีมมีผลงานที่เลวร้าย
อย่างไรก็ดี สิงห์บลูส์ อาจเป็นเหมือนกับทีมยักษ์หลายรายที่ถูก ฟุตบอลโลก เวอร์ชั่นใหม่ซึ่งฟาดแข้งกันในช่วงกลางซีซั่นเล่นงานจนทำให้นักเตะมีสภาพกรอบเป็นข้าวเกรียบเนื่องจากพวกเขาต้องใส่ใจทั้งงานราษฏร์และงานหลวงโดยที่แทบไม่ได้พักแข้งพักขากันสักเท่าไหร่
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร โปเช็ตติโน่ จะมีเวลาทำงานกับทีมตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่นซึ่งถือเป็นโอกาสที่เขาจะได้พัฒนาความฟิตของนักเตะแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยก่อนที่ซีซั่นใหม่จะออกสตาร์ต
และที่สำคัญ กุนซืออาร์เจนไตน์เคยตำหนิเหล่าซูเปอร์สตาร์ในทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง มาแล้วว่าไม่มีความทุ่มเทมากพออย่างที่เขาต้องการ ฉะนั้นแล้วขุนพล เชลซี จึงจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับปรัชญาของเจ้านายคนใหม่ให้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายคนเคยผ่านตากันมาแล้วว่าเขาสร้างทีม สเปอร์ส ที่อาศัยพละกำลังเล่นเกมรุกบุกแหลกขึ้นมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
2. วางระบบการเล่นให้ชัดเจน
ซีซั่นที่ผ่านมา เชลซี ลงเล่นในระบบที่สะเปะสะปะไปหมดทั้งแบ็คทรี และแบ็คโฟร์สลับกันไปจนส่งผลทำให้สโมสรมีผลงานที่เหลวแหลก
ต่อประเด็นนี้ มันเริ่มต้นมาตั้งแต่ โบลีห์ ดึง พ็อตเตอร์ มาคุมทีมแล้วเนื่องจากเขาสลับให้นักเตะลงเล่นทั้งสองระบบขึ้นอยู่กับว่าทีมจะต้องต่อกรกับคู่แข่งที่มีจุดแข็งในด้านไหน
สำหรับ โปเช็ตติโน่ เป็นที่รู้กันดีว่าเขาวางระบบให้ สเปอร์ส เล่นในสไตล์ 4-2-3-1 ในช่วงแรก แต่ปรับมาเล่นในสไตล์ 4-3-3 หรือว่า 3-4-3 สุดแท้แต่ว่าเขาต้องการเน้นให้ทีมเล่นเกมรุกหรือว่าตั้งรับมากกว่ากัน
ยิ่งไปว่านั้น เขาจะต้องตัดสินใจให้ได้เช่นกันว่าจะใช้งานลูกทีมคนไหนเป็นตัวหลัก และเป็นตัวสอดแทรกเพื่อให้เข้ากับแทคติกเนื่องจาก เชลซี มีขุมกำลังที่ใหญ่โตเกินไปหลังจาก โบลีห์ เน้นกว้านซื้อนักเตะใหม่เข้ามาจนล้นสโมสร
3. รีดฟอร์มเก่งของ มูดริค ให้ได้
ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างแรงเนื่องจาก มิไคโล มูดริค ปีกทีมชาติ ยูเครน ที่ เชลซี สู้อุตส่าห์ควักกระเป๋าปาดหน้า อาร์เซน่อล ดึงเขามาร่วมทีมไม่อาจสอยตาข่ายตอบแทนเศรษฐีลอนดอนได้เลยแม้แต่ประตูเดียวจากการลงสนาม 17 นัดในทุกรายการ
แรกทีเดียว ดาวดังทีม ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค ตกเป็นเป้าหมายของ เดอะ กันเนอร์ส และทำให้เขาประกาศขอย้ายทีม แต่สุดท้ายเป็น สิงห์บลูส์ ที่ได้ครอบครองเขาจากการจ่ายเงินให้ทีมลูกหนังในลีกยูเครน 62 ล้านปอนด์โดยมีค่าแอดออนในสัญญาพ่วงด้วยอีก 25 ล้านปอนด์
ยิ่งไปกว่านั้น เชลซี ยังสร้างเรื่องช็อกเซ็นสัญญากับเขายาวถึงแปดปีครึ่งอีกด้วยหลังทีมดังของกรุงลอนดอนคว้าเขามาร่วมค่ายเมื่อเดือนม.ค. แต่ไม่แน่ว่า พอช คิดส่งเขาลงสนามมากน้อยแค่ไหนเนื่องจากนายใหญ่อาร์เจนไตน์น่าจะชื่นชอบฝีเท้าของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่สวมบทปีกซ้ายเช่นกันมากกว่า
อย่างไรก็ดี ด้วยวัยเพียง 22 ปี มูดริค ยังมีอนาคตที่ยาวไกล และจากที่เห็นกันว่า โปเช็ตติโน่ เจียระไน ซน ฮึง มิน ให้กลายเป็นเพชรเม็ดงามของ สเปอร์ส ได้สำเร็จ เขาจึงมีงานสำคัญอีกชิ้นรออยู่ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
4. สะสางอนาคตของ ลูกากู
อย่างที่บอกไปว่า เชลซี มีกองทัพนักเตะที่ใหญ่มากเกินไปถึงขนาดกองหน้าค่าตัวแพงอย่าง โรเมลู ลูกากู ยังถูกปล่อยให้ อินเตอร์ มิลาน อดีตต้นสังกัดของเขาใน เซเรียอา ยืมไปใช้งาน
แต่หลังจบซีซั่นนี้ ศูนย์หน้าวัย 30 ปีจะกลับสู่ทีม สิงห์บลูส์ ตามเดิมเนื่องจาก งูใหญ่ ไม่มั่งคั่งพอที่จะซื้อขาดเขาได้เป็นคำรบสองอย่างแน่นอนหลังเคยลงทุนเป็นสถิติสโมสร 80 ล้านยูโรซื้อเขาไปจาก แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนส.ค.2019
หลังมีปัญหากับ ทูเคิ่ล ในหลายๆประเด็น ดาวยิงทีมชาติ เบลเยี่ยม ก็ถูกส่งให้ งูใหญ่ ยืมตัว และแม้จะมีฟอร์มที่ดีร้ายสลับกันไปไม่เลิกกระทั่งไม่อยู่ในโผ 11 คนแรกในระยะหลัง แต่ ลูกากู มีทีเด็ดมากพอที่จะพาตัวเองกลับมาสร้างชื่อได้เสมอ
อย่างในซีซั่นนี้ เขามีส่วนทำให้ทีมของกุนซือ ซิโมเน่ อินซากี้ ได้แชมป์ โค้ปป้า อิตาเลีย และเข้ารอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก อีกรายการจึงเท่ากับว่าหาก พอช สามารถใช้จุดแข็งของกองหน้าร่างยักษ์ให้เป็นประโยชน์ได้ เชลซี ก็ไม่น่าจะต้องวิ่งวุ่นมองหาต้นสังกัดใหม่ให้กับเขาซ้ำอีก