จากมุมมองของนักวิจารณ์ แฟนบอล แม้กระทั่งการคำนวนความน่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสคว้าทริปเปิลแชมป์มากกว่า 50 เปอร์เซนต์เสียอีก
ถามว่าน่าแปลกไหมถ้าย้อนกลับไปช่วงครึ่งฤดูกาลแรกหรือต้นปีอาจจะมีคำถามอยู่บ้าง การได้ทริปเปิลแชมป์ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ ด้วยมีปัจจัยประกอบอื่นมากมายนอกจากฝีเท้า โอกาสกวาดสามแชมป์ใหญ่เกินครึ่งนั้นเป็นความน่าจะเป็นที่สูงเกินไป
แต่เมื่อมาถึงวันนี้.. โอกาสคว้าทริปเปิลแชมป์เกือบ 60 เปอร์เซนต์ที่คำนวนออกมาคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอีกแล้ว
ทีมเรือใบสีฟ้าเก็บพรีเมียร์ลีกเข้ากระเป๋าเรียบร้อย เหลือภารกิจล่าแชมป์เอฟเอ คัพ กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกสองรายการมาสมทบเท่านั้นเอง
ชิงเอฟเอ คัพ กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน
ชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับอินเตอร์ มิลาน วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน
ทั้งสองเกมนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ล้วนได้รับการคาดหมายว่าจะเอาชนะคู่ชิงของพวกเขาได้ ว่ากันไปทีละเกม สะสมแชมป์กันไปทีละรายการ รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็อาจจะฉลองแชมป์ยุโรปสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรด้วยความสำเร็จชนิดอลังการกันไปเลย
มันจะง่ายอย่างนั้นไหม ถ้าคุยกันตามผลงานล่าสุดก็อาจจะง่ายอย่างนั้นนั่นล่ะครับในความรู้สึกของหลายๆ คน คงมีเพียงไม่มากที่จะกล้าสวนกระแสมั่นใจว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ อินเตอร์ มิลาน เช็กบิลทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้
ยิ่งแต่ละปีผ่านไปๆ เป๊ปดูจะสร้างซิตี้ให้เก่งขึ้นด้วยวิธีการเล่นใหม่ๆ ฉีกหนีคนอื่นออกไปตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่งเลย
ผลงานในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีกของพวกเขาน่าทึ่งอย่างยิ่ง การถล่มทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค และ เรอัล มาดริด ราบคาบคือการประกาศความพร้อมที่ดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด ทีมเสือใต้แชมป์ยุโรป 6 สมัยกับทีมราชันชุดขาวแชมป์ยุโรป 14 สมัย รวมกันสองทีมกวาดไป 20 สมัยถูกมหาอำนาจใหม่ที่ยังคงเฝ้ารอถ้วยบิ๊กเอียร์ไปเชยชมไล่โขยกราวกับเป็นบอลคนละชั้น
แฟนบอลจำนวนไม่น้อยมองว่า หลังจากความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าและความเจ็บช้ำที่ยากจะรับได้หลายหน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บ่มตัวเองมาจนพร้อมแล้วสำหรับการเป็นแชมป์ยุโรป..
ผมเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ นาทีนี้หาใครหยุดซิตี้ยากเหลือเกิน
กระนั้นฟุตบอลนัดชิงก็เป็นฟุตบอลนัดเดียว ตัดสินกันในเกมเดียว โอกาสเกิดผลการแข่งขันที่พลิกความคาดหมายเป็นไปได้มากกว่าฟุตบอลแบบลีกหรือทัวร์นาเม้นต์ที่มีให้เล่นหลายนัด พลาดเกมหนึ่งคุณยังมีโอกาสแก้ตัวอีกเกมหนึ่ง ยกตัวอย่างทีมชาติอาร์เจนติน่าในฟุตบอลโลก กาตาร์ 2022 ก็ได้ ถ้าเป็นระบบแพ้คัดออกทีมฟ้าขาวกลับบ้านตั้งแต่ด่านแรกที่ปราชัยซาอุดิอาระเบียแล้ว
และขึ้นชื่อว่าฟุตบอลนัดชิง อะไรก็เกิดขึ้นได้จริงๆ ใช่ว่าทีมที่เหนือกว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป
ผมเชื่อว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เองก็จะไม่ยอมชะล่าใจเด็ดขาด เขารู้ดีถึงความสามารถของทีมและเชื่อว่าเขาน่าจะมั่นใจในตัวลูกทีมและระบบการเล่นของเขาว่ามีมาตรฐานที่สูงกว่าคู่ต่อสู้ เพียงแต่การเป็นแชมป์นั้น คุณภาพเชิงฟุตบอลเพียงอย่างเดียวไม่ได้การันตีตำแหน่งนั้นให้คุณ
แน่นอนมันช่วยให้คุณมีโอกาสมากกว่า ทีมที่เก่งกว่าย่อมมีโอกาสเป็นแชมป์มากกว่า แต่โอกาส 80 ต่อ 20 ก็ไม่ได้หมายความว่าทีมที่มีโอกาสแค่ 20 เปอร์เซนต์จะเป็นแชมป์ไม่ได้
เขาย่อมเข้าใจตรงนี้ดี และจะไม่ยอมประมาทแน่เมื่อคุมทีมลงล่าแชมป์อีกสองรายการที่เหลือ
ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ มีเพียง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 1998/99 ทีมเดียวเท่านั้นที่เคยไปถึงความยิ่งใหญ่นี้ ทีมปีศาจแดงของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเหนืออาร์เซน่อลในวันสุดท้าย คว้าแชมป์เอฟเอ คัพด้วยการชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเหนือ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยปาฏิหาริย์แห่งคัมป์ นู
ถ้าทริปเปิลแชมป์ทำไม่ยาก ลิเวอร์พูล อาร์เซน่อล เชลซี น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคเรืองอำนาจก็คงทำมันได้ไปเรียบร้อย หรือกระทั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เองก็คงจะทำมันได้มากกว่าหนึ่งครั้งไปแล้ว
ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลสโมสรยุโรป มีอยู่ 7 ทีมที่เคยคว้าทริปเปิลแชมป์ (อันหมายถึง แชมป์ลีก - แชมป์ฟุตบอลถ้วยใหญ่ในประเทศ - แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ) ได้ และในจำนวนนั้นมี 2 ทีมที่ทำได้ถึง 2 ครั้งนั่นคือ บาร์เซโลน่า กับ บาเยิร์น มิวนิค
บาร์ซ่าทำได้ในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ฤดูกาล 2008/09 กับ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ฤดูกาล 2014/15 ขณะที่บาเยิร์นทำได้ในยุคของ จุ๊ปป์ ไฮย์นเกส ฤดูกาล 2012/13 กับ ฮันซี่ ฟลิค ฤดูกาล 2019/20
อีก 5 ทีมที่เหลือทำได้ทีมละครั้ง บางทีมเกิดขึ้นจากการคว้าแชมป์ยุโรปแค่หนเดียวของพวกเขาด้วยอย่าง กลาสโกว์ เซลติก ของ จ๊อค สตีน เมื่อฤดูกาล 1966/67 ที่ไม่เพียงได้แชมป์ 3 รายการใหญ่เท่านั้นแต่ทีมม้าลายเขียวขาวยังกวาดแชมป์สกอตติช ลีก คัพ มาเป็น 4 แชมป์หรือควอดรับเบิลแชมป์อีกด้วย
พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในยุค กุส ฮิดดิ้งค์ ก็ทำได้เช่นกันเมื่อฤดูกาล 1987/88 แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพของยักษ์ใหญ่ฮอลแลนด์ครั้งนั้นคือครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สโมสรจนถึงวันนี้
อีกสามทีมที่เคยคว้าทริปเปิลแชมป์คือ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ฤดูกาล 1971/72 ในยุคกุนซือเชื้อสายโรมาเนีย/ฮังการี สเตฟาน โควัคส์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเฟอร์กูสันฤดูกาล 1998/99 และ อินเตอร์ มิลาน ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ฤดูกาล 2009/10
แชมป์ยุโรปอีกหลายทีมทำได้เต็มที่ก็แค่ดับเบิ้ลแชมป์ อันนี้นับเฉพาะดับเบิ้ลแชมป์ที่หนึ่งในนั้นเป็นแชมป์ยุโรปนะครับ ไม่นับดับเบิ้ลแชมป์ฟุตบอลลีกกับฟุตบอลถ้วยในประเทศ
เรอัล มาดริด ได้ดับเบิ้ลแชมป์ 5 ครั้งจากทั้งหมด 14 ครั้งที่ตัวเองเป็นแชมป์ยุโรป มันเกิดขึ้นในปี 1957, 1958, 2014, 2017 และ 2022 ส่วนใหญ่คือ แชมป์ลา ลีกา พ่วงแชมป์ยุโรป ยกเว้นเพียงฤดูกาล 2013/14 ที่ได้แชมป์โกปา เดล เรย์ พ่วงบิ๊กเอียร์
เบนฟิก้า ก็เป็นดับเบิ้ลแชมป์ในทั้ง 2 สมัยที่พวกเขาได้แชมป์ยุโรปในปี 1961 และ 1962
อินเตอร์ มิลาน นอกจากทริปเปิลแชมป์ปี 2010 แล้วยังได้ดับเบิ้ลแชมป์เมื่อปี 1965 ขณะที่ เอซี มิลาน เพื่อนร่วมเมืองแชมป์ยุโรป 7 สมัยทำได้เต็มที่ก็แค่ดับเบิ้ลแชมป์ 2 ครั้งในปี 1994 กับ 2003
อาแจ๊กซ์กับบาร์เซโลน่าได้ดับเบิ้ลแชมป์เป็นอย่างน้อยในทุกครั้งที่พวกเขาเป็นแชมป์ยุโรป ทีมอัศวินแห่งอัมสเตอร์ดัมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในปี 1971, 1973 และ 1995 ขณะที่บาร์ซ่าได้ดับเบิ้ลแชมป์ปี 1992, 2006, 2011 และทริปเปิลแชมป์ปี 2009 กับ 2015
บาเยิร์น มิวนิค ได้ดับเบิ้ลแชมป์ปี 1974 กับ 2001 และทริปเปิลแชมป์ปี 2013 กับ 2020
ฮัมบูร์กเป็นดับเบิ้ลแชมป์หนึ่งครั้งตอนฤดูกาล 1982/93 เช่นเดียวกับ สเตอัว บูคาเรสต์ ปี 1986 เอฟซี ปอร์โต้ ปี 1987 เร้ดสตาร์ เบลเกรด ปี 1991 และเชลซีของ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ รักษาการกุนซือที่พาทีมตบทั้งแชมป์เอฟเอ คัพและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2012
แชมป์ยุโรปทีมอื่นๆ ที่เหลือไม่เคยสัมผัสกับดับเบิ้ลแชมป์นอกประเทศเลย เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ แอสตัน วิลล่า โอลิมปิก มาร์กเซย โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ยูเวนตุส ไม่ได้แชมป์รายการอื่นในประเทศไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลลีกหรือถ้วยตอนที่ตัวเองคว้าแชมป์ยุโรป
ลิเวอร์พูลแชมป์ยุโรป 6 สมัย เคยได้ดับเบิ้ลแชมป์ 2 ครั้งเมื่อปี 1977 กับ 1984..
ทีมหงส์แดงเกือบจะเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ได้ทริปเปิลแชมป์ด้วยซ้ำนะครับ ขุนพลยุครุ่งเรืองของ บ็อบ เพสลี่ย์ คว้าแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งฤดูกาล 1976/77 ไปเรียบร้อยแล้วตอนที่เดินลงสู่สนามเวมบลีย์ในนัดชิงเอฟเอ คัพ เมื่อวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม ปี 1977
ถัดจากเกมนั้นแล้วลิเวอร์พูลมีโปรแกรมฟาดแข้งกับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค แห่งเยอรมันที่กรุงโรมในนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพสมัยแรกของทั้งคู่ในอีก 4 วันให้หลัง
มันก็คล้ายกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คราวนี้นี่แหละครับ นั่นคือลิเวอร์พูลมีโอกาสเป็นทริปเปิลแชมป์ไม่น้อยทีเดียวเพราะเหลืออีกแค่ 2 ด่านในนัดชิงที่ตัวเองเหนือกว่าคู่ชิงตามมุมมองของนักวิจารณ์ แต่บทสรุปที่ออกมายอดทีมแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ต้องอกหักในเอฟเอ คัพ แม้สุดท้ายจะไปคว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จก็ตาม
และทีมที่เอาชนะลิเวอร์พูลที่เวมบลีย์ ดับความฝันเกรียงไกรที่จะคว้าทริปเปิลแชมป์เป็นทีมที่สองของสหราชอาณาจักรต่อจากเซลติกและเป็นทีมแรกในอังกฤษก็คือทีมที่กำลังจะลงเตะที่เวมบลีย์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในถ้วยเดียวกันสัปดาห์หน้านี่แหละ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด..
มีคำพูดว่าวงล้อแห่งประวัติศาสตร์มักจะหมุนกลับมาอีกครั้ง บอลนัดชิงนัดเดียวแถมเป็นดาร์บี้แมตช์ ความน่าเชื่อถืออาจเป็นรองสุดกู่ แต่อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ยูไนเต็ดเคยดับฝันทริปเปิลแชมป์ของคู่ปรับสำคัญอย่างลิเวอร์พูลมาแล้ว ทำไมคราวนี้จะเกิดขึ้นอีกไม่ได้เล่า
และนอกจากอุปสรรคอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว อินเตอร์ มิลาน ก็คงไม่ใช่สมันน้อยให้แมนฯ ซิตี้ เคี้ยวเล่นง่ายๆ ที่อิสตันบูลแน่ ทีมงูใหญ่กลับมาคืนฟอร์มเก่งได้ทันเวลาพอดี ชนะ 9 จาก 10 เกมล่าสุดทุกรายการ ในจำนวนนั้นมีการชนะ 8 เกมรวดและเพิ่งจะแซงชนะฟิออเรนติน่าคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย สดๆ ร้อนๆ ไปเมื่อคืนนี้เอง
ภารกิจคว้าทริปเปิลแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดูเหมือนไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย.. มันอาจไม่ใช่สภาวะนอนมาอย่างที่หลายคนคิดก็ได้นะครับ
ตังกุย