ในที่สุด การแย่งตั๋วฟุตบอล แชมเปี้ยนส์ลีก ในลีกเมืองผู้ดีก็จบลงอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด เปิด โอลด์ แทรฟฟอร์ด ขย้ำ เชลซี แบบหายห่วง 4-1 ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดรองสุดท้ายเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ค.
เท่ากับว่า ผีแดง จบอันดับท็อปโฟร์ได้เช่นเดียวกับ นิวคาสเซิ่ล เรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องไปรอลุ้นถึงเกมปิดซีซั่นวันอาทิตย์นี้ แถมชัยชนะที่มีเหนือทีมจากลอนดอนยังทำให้ เร้ด เดวิลส์ แซงนำ สาลิกาดง ขึ้นสู่อันดับสามของตารางอีกด้วย
1. ผีชุดเดิม แรชฟอร์ด นั่งสำรอง
แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจส่งทีมชุดเดิมลงบู๊เช่นเดียวกับนัดบุกชนะ บอร์นมัธ 1-0 ในเกมล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เจ้าบ้านได้ มาร์คัส แรชฟอร์ด หายป่วย แต่ถูกจับให้นั่งเป็นตัวสำรองไปก่อนหลังเจ้าตัวพลาดการลงเล่นในสองเกมหลังซึ่ง ผีแดง เก็บได้หกแต้มเต็ม
2. สิงห์บลูส์ สลับโผสามตำแหน่ง
เชลซี ซึ่งมีปัญหานักเตะล้มเจ็บหลายรายเปลี่ยนโผ 11 ตัวแรกรวมสามชีวิตจากเกมออกไปพ่าย แมนฯ ซิตี้ 1-0 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ในจำนวนนี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด นายใหญ่ขัดตาทัพเลือกดร็อป ติอาโก้ ซิลวา , รูเบน ลอฟตัส ชีค และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง นั่งข้างสนามโดยส่ง คาร์เนย์ ชุควูเอเมก้า , มิไคโล มูดริค และ โนนี่ มาดูเอเก้ ออกสตาร์ต
3. แลมพาร์ด ใช้แรงงานเด็ก
ต่อการจัดทัพดังกล่าว ทำให้ทีมจากลอนดอนใช้งานนักเตะตัวจริงลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก โดยมีอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วยในวัย 23 ปี 238 วัน
จาก 11 นักเตะที่ออกสตาร์ตเกมนี้ มีอยู่ 9 รายที่มีอายุไม่เกิน 23 ปีซึ่งทำให้ สิงห์บลูส์ เป็นทีมที่สามที่ใช้งานนักเตะอายุไม่เกิน 24 ปีลงเล่นเป็นตัวจริงพร้อมกันในเกม พรีเมียร์ลีก มากที่สุดต่อจาก มิดเดิ้ลสโบรช์ (10 รายในเกมบู๊กับ ฟูแล่ม เดือนพ.ค.2006) และ แอสตัน วิลล่า (10 รายในเกมบูกับ สวอนซี เดือนม.ค. 2013)
4. นำเร็วแล้วหนืดไม่เปลี่ยน
ปีศาจแดง ของ เทน ฮาก ยังใช้แผนเดิมด้วยการโจมตีเร็วใส่คู่แข่งเพื่อชิงจังหวะสอยตาข่ายนำหน้าก่อน และได้ประตูนำเร็วอีกตามเคยเพียงแค่ 6 นาทีแรกจากลูกโขกของ กาเซมีโร่ ที่ช่วยลดความกดดันให้ทีมลงไปไม่น้อยต่อการคว้าตั๋วลงเล่นถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก
อย่างไรก็ดี รูปเกมโดยรวมในครึ่งแรกปรากฏว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอลเป็นรอง เชลซี ทีมเด็กอย่างน่าตกใจเนื่องจากพวกเขาคุมสถานการณ์ไม่ได้เลยหลังจากมีประตูนำหน้า และต้องอาศัยเกมโต้กลับหาทางพังประตูเพิ่มก่อนจะทำสำเร็จในช่วงทดเวลาจากจังหวะที่ กาเซมีโร่ โชว์เหนือชิพบอลเข้าเขตโทษด้านขวาให้ เจดอน ซานโช่ ปาดไปเสาสองโดยมี อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เข้าฮอสเผาขน
ถึงขณะนี้ ศูนย์หน้าเลือดน้ำหอมถือเป็นจอมแสบของ เชลซี อย่างเต็มตัวแล้วเนื่องจากเขามีส่วนร่วมกับ 6 ประตูในเกม พรีเมียร์ลีก 5 นัดหลังที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงปะทะกับเศรษฐีลอนดอน (5 ประตู 1 แอสซิสต์) แถมเป็นประตูแรกที่เขายิงได้ใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2019
ถึงอย่างนั้น ก่อนจะได้เม็ดสองจะเห็นได้ว่าเจ้าถิ่นโดนทีมเยือนบุกกดดันอย่างหนักจนโงหัวไม่ขึ้นนานร่วมสิบนาทีเลยทีเดียว และหวิดเสียประตูหลายครั้ง ดีที่ว่าจังหวะสุดท้ายของ เชลซี ไม่ลงล็อก หรือไม่ก็โชคไม่เป็นใจจึงทำให้ ปีศาจแดง รอดตัวไป
หลังบู๊กันครบ 45 นาทีแรก แน่นอนว่าทีมจากเมืองกรุงเหนือกว่าทุกอย่างทั้งการครองบอลที่สูงปรี๊ด 61:39% และได้ยิงมากกว่าถึง 7:4 ครั้ง แต่ส่งบอลเข้ากรอบไม่ได้เลย ขณะที่ ผีแดง ซัดเข้ากรอบทั้งสองหน และนำหน้า 2-0 ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ สิงห์บลูส์ ต้องหาทางแก้ไขจุดบกพร่องในด้านการจบสกอร์ทั้งๆที่เกมนี้พวกเขาเล่นได้อย่างน่าประทับใจมากกว่าในหลายๆนัดของซีซั่นนี้
สำหรับฝั่ง ผีแดง พวกเขาไม่แพ้ในเกม พรีเมียร์ลีก นานถึง 135 นัดแล้วหากมีสกอร์นำในครึ่งแรก (ชนะ 116 เสมอ 19) นับตั้งแต่แพ้ เลสเตอร์ 5-3 เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2014 แถมไม่ปล่อยให้คู่แข่งได้ประตูในเกมครึ่งแรกของ พรีเมียร์ลีก มากกว่าทุกทีมในซีซั่นนี้ด้วยเป็นจำนวน 28 จาก 37 เกม
5. โฟฟาน่า สมนาคุณ
ครึ่งหลัง รูปเกมยังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนกล่าวคือ เชลซี ครองบอลทำเกมรุกได้ดีกว่า ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เน้นวางบอลยาวโต้กลับ และในที่สุดเจ้าบ้านก็มาได้ลูกโทษในจังหวะที่ เวสลีย์ โฟฟาน่า สะกิด บรูโน่ แฟร์นันดส์ ล้มในเขตโทษ ก่อนที่สตาร์โปรตุกีสจะสังหารไม่พลาดพาทีมนำเพิ่มเป็น 3-0 ในนาทีที่ 73 โดยนับตั้งแต่ประเดิมสนามให้ ผีแดง เมื่อเดือนก.พ. 2020 ไม่มีนักเตะคนไหนสังหารลูกโทษตุงตาข่ายในเกม พรีเมียร์ลีก มากไปกว่าสตาร์ทีมชาติ โปรตุเกส อีกแล้ว (15 ประตูเท่ากับ จอร์จินโญ่)
ยิ่งไปกว่านั้น โฟฟาน่า มามอบของขวัญเพิ่มให้ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกในนาทีที่ 78 จากการผ่านบอลพลาดจนโดน แรชฟอร์ด ลงโทษซึ่งทำให้กองหน้าทีมชาติ อังกฤษ ซัดได้รวม 30 ตุงแล้วในทุกรายการของซีซั่นนี้ และเป็นการทาบสถิติของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ นักเตะคนสุดท้ายของสโมสรที่เคยยิงประตูได้ถึงหลักนี้ในซีซั่น 2012/13 แถมดาวยิงผิวสียิงประตูเกมเหย้าได้เป็นเม็ดที่ 20 ด้วยซึ่งทำให้เขาเป็นพ่อค้าแข้งคนแรกของถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกเช่นกันที่มีสถิติในข่ายนี้ทัดเทียมกับ เวย์น รูนีย์ ในซีซั่น 2009/10
จบ 90 นาที เชลซี ซึ่งตีไข่แตกได้จาก ชูเอา เฟลิกซ์ ตัวสำรองในนาทีที่ 89 เหนือกว่าแค่การครองบอลเท่านั้น 60:40% แต่ถูก แมนฯ ยูไนเต็ด โต้ไปยิงประตูได้มากกว่ารวมเป็น 16:13 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 8-3 ครั้ง
ขณะเดียวกัน หลังพาทีมกำชัยได้สำเร็จ เทน ฮาก ก็เป็นกุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด รายที่ห้าที่คุมทีมในซีซั่นแรก และพาทีมจบอันดับท๊อปโฟร์ได้ทันทีต่อจาก จอห์น เบนท์ลีย์ (1912/13) , แม็ตต์ บัสบี้ (1946/47) , รอน แอ๊ตกินสัน (1891/82) และ หลุยส์ ฟาน กัล (2014/15)