มันก็นานเหลือเกินแล้วนะครับที่ทั้งคู่ห่างหายจากกันมา
สำหรับแฟนบอลของทีมที่ได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกแบบขาประจำทั้งหลายอาจจะนึกไม่ค่อยออกว่าผลเสมอเมื่อคืนที่ผ่านมามีความหมายมากเพียงใดสำหรับพวกเขา ที่สุดท้ายแล้วการรอคอยที่เคยมองไม่เห็นอนาคตนั้นกลายเป็นความสำเร็จในที่สุด
ผมเชื่อว่ากระทั่งทูนอาร์มี่หลายคนก็ยังอยากจะหยิกตัวเองให้แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
แฟนบอลนิวคาสเซิ่ลเคยผ่านความรู้สึกอย่างนั้นมา ความรู้สึกที่มองไม่เห็นอนาคตของทีม สัมผัสไม่ได้ถึงความหวัง จนบางครั้งอาจจะยังสงสัยด้วยซ้ำว่ากำลังหลอกตัวเองอยู่หรือเปล่าว่าเราจะกลับมาได้
ความมอดไหม้ ผิดหวัง สูญสลาย คือคำปกติที่พวกเขาต้องทนอยู่กับมัน ปีแล้วปีเล่าจนกลายเป็นความชินชา ทุกครั้งที่พอจะมีความหวังเรืองรองขึ้นมาบ้างก็มักจะลงเอยด้วยการละลายหายไปอย่างรวดเร็วเสมอ ไม่เดือนตุลาคม ก็พฤศจิกายน หรือเต็มที่ก็ธันวาคม.. แทบไม่เคยข้ามปีด้วยซ้ำ
มันคล้ายมีกำแพงขวางกั้นความเชื่อของพวกเขาอยู่.. ไม่ได้หรอก มึงทำไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ในตอนนี้ หรือจนกว่าจะมีใครสักคนที่เป็นแบบ เซอร์ จอห์น ฮอลล์ เควิน คีแกน เฟร็ดดี้ เชฟเฟิร์ด หรือปูชนียบุคคลอย่าง เซอร์บ๊อบบี้ ร็อบสัน ก้าวเข้ามานั่นแหละ
เซอร์บ๊อบบี้ ร็อบสัน..
ผมยังจำการโลดแล่นในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีกหนล่าสุดของ นิวคาสเซิ่ล ได้ มันเกิดขึ้นในยุคของปู่บ๊อบนี่แหละ
ในวันที่เรี่ยวแรวของทีมสาลิกาดงเริ่มถดถอย การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างยุคคิงเคฟช่วงกลางทศวรรษ 1990 กลายเป็นเรื่องไกลตัว ข้อจำกัดต่างๆ ไม่เอื้อต่อการพาทีมทะยานสูงเกียรติยศ แต่ร็อบสันก็ยังเก่งเหลือเกิน พาทีมไต่ขึ้นไปได้ถึงอันดับ 3 และ 4 ของประเทศ เป็นรองแค่มหาอำนาจในเวลานั้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล
ความทรงจำที่มีต่อนิวคาสเซิ่ลสำหรับผมแยกเป็น 2 ทาง ทางแรกคือพรีเมียร์ลีก ทางที่สองคือแชมเปี้ยนส์ ลีก
กับความทรงจำสายพรีเมียร์ลีก แน่นอนมันคือยุคเร้าใจของคีแกน ไม่มีความประทับใจไหนชัดเท่ายุคนั้นอีกแล้ว
ส่วนความทรงจำสายแชมเปี้ยนส์ ลีก แม้ในยุคไนน์ตี้ส์พวกเขาจะได้ไปลุยเวทีนี้เช่นกันด้วยขุนพลอย่าง อลัน เชียเรอร์, ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า, ฟิลิปป์ อัลแบร์, คีธ กิลเลสพี, ยอน ดาห์ล โทมัสสัน, เดวิด แบ๊ตตี้, เตมูร์ เคตส์บาย่า หรือกระทั่ง เอียน รัช และ จอห์น บาร์นส์ ได้ดวลกับ โครเอเชีย ซาเกร็บ บาร์เซโลน่า ดินาโม เคียฟ และ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น แต่มันก็ยังไม่ชัดเท่ายุคปู่บ๊อบ
หลังจากพาทีมจบอันดับ 4 พรีเมียร์ลีกคว้าสิทธิ์ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี บ๊อบบี้ ร็อบสัน พร้อมขุนพลของเขาทั้ง เชียเรอร์, แกรี่ สปีด, โรเบิร์ต ลี, เชย์ กิฟเว่น, เคร็ก เบลลามี่, โลร็องต์ โรแบร์, คีรอน ดายเออร์, โชล่า อเมโอบี้ สร้างวีรกรรมอันน่าเหลือเชื่อในเวทีนี้ฤดูกาล 2002/03 ด้วยการพลิกนรกจากที่แพ้รวด 3 นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มกลับมาเข้ารอบได้สำเร็จ
นัดแรกแพ้ดินาโม เคียฟ นัดที่สองแพ้เฟเยนูร์ด นัดที่สามแพ้ยูเวนตุส
เตะ 3 แพ้ 3 โอกาสเข้ารอบแทบมองไม่เห็น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือปรากฏการณ์
นัดที่สี่ชนะยูเวนตุส นัดที่ห้าชนะดินาโม เคียฟ และนัดที่หกบุกชนะเฟเยนูร์ดถึงร็อตเตอร์ดัมด้วยประตูชัย 3-2 ของ เคร็ก เบลลามี่ ในช่วงทดเวลา
เตะ 6.. แพ้ 3 ชนะ 3 ปาดหน้าทั้งเคียฟและเฟเยนูร์ดเข้ารอบตามยูเว่ชนิดหักปากกาเซียน
แม้สุดท้ายทีมชุดนั้นจะจอดป้ายในรอบแบ่งกลุ่มรอบสองที่มีทั้ง บาร์เซโลน่า อินเตอร์ มิลาน และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ร่วมกลุ่ม แต่วีรกรรมในรอบแบ่งกลุ่มรอบแรกคราวนั้นคือผลงานที่ผมเชื่อว่าหลายคนยังจำได้ดีมาจนถึงวันนี้
มันคือครั้งแรกที่มีทีมแพ้ 3 นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มแต่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ในแชมเปี้ยนส์ ลีก
แล้วฤดูกาลถัดมา 2003/04 นิวคาสเซิ่ลที่จบฤดูกาลก่อนหน้าด้วยอันดับสามของลีกก็เล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งสุดท้ายจนกระทั่งวันนี้ ทีมของปู่บ๊อบตกรอบคัดเลือกรอบสามต่อหน้าแฟนบอลในเซนต์ เจมส์ พาร์ค ด้วยการแพ้จุดโทษ ปาร์ติซาน เบลเกรด ชนิดที่ เชียเรอร์ ดายเออร์ และ โจนาธาน วู้ดเกต เพชฌฆาต 3 คนแรกยิงไม่เข้าเลยสักคน
อลัน เชียเรอร์ ยิงจุดโทษไม่เข้า.. บางทีมันอาจเป็นสัญญาณเตือนทูนอาร์มี่ตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ได้ว่าพวกคุณกำลังจะต้องเจอกับอะไร
ยี่สิบปี..
ยี่สิบปีแล้วที่นิวคาสเซิ่ลต้องผ่านประสบการณ์ทั้งเลวร้ายและขมขื่น หนีเสือได้ก็ไปปะจระเข้ หันไปรอบตัวเห็นแต่ความมืดมน
ยี่สิบปีแล้วที่ต้องเผชิญกับอะไรมามากมายเหลือเกิน ต้องตกชั้น ต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้แม้กระทั่งกับความเชื่อของตัวเอง
ยี่สิบปีแล้ว.. จนกระทั่งมาถึงวันนี้
ฉลองเต็มที่ให้สมกับการรอคอยมายาวนาน จากการยิงจุดโทษพลาดของเชียเรอร์คราวนั้น บางทีนิวคาสเซิ่ลอาจกำลังส่งสัญญาณใหม่ไปยังทูนอาร์มี่ก็ได้ และคราวนี้มันเป็นสัญญาณแห่งความรุ่งโรจน์
ทีมอย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด.. แฟนบอลอย่างทูนอาร์มี่.. พวกคุณควรมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ไม่ใช่คราบน้ำตา ขอแสดงความยินดีด้วยครับ
ตังกุย