เป็นอีกครั้งที่ฟุตบอลบอกกับเราว่าเราจะยึดเอาอารมณ์ความรู้สึกหรือกระทั่งความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นๆ มาตัดสินอนาคตไม่ได้เลย
สถานการณ์การลุ้นพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากริบหรี่มาเป็นมีลุ้นเต็มตัวในช่วงเวลาเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น
เดือนเดียวเองนะครับ.. เดือนเดียวเท่านั้นเองที่ช่องว่าง 12 คะแนนถูกลดพรวดพราดลงมาเหลือแค่แต้มเดียว
ความเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วชนิดตั้งตัวไม่ทันจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฟุตบอลระบบชนะได้สามคะแนน
ย้อนกลับไปวันที่ถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถลุง 1-4 แล้วต่อด้วยการเสมอ 2 เกมติดกับ เชลซี และ อาร์เซน่อล ทีมหงส์แดงยังไม่มีวี่แววว่าจะก้าวมาอยู่ในจุดที่ยืนอยู่วันนี้
ต่อให้แนวโน้มดูดีขึ้นจากการสวมหัวใจสิงห์ไล่ตีเสมอทีมปืนใหญ่อย่างน่าประทับใจที่แอนฟิลด์ก็เถอะแต่มันก็เป็นแค่แต้มที่สองเท่านั้นที่เก็บได้ในการลงเตะสี่เกมในเวลานั้น (แพ้บอร์นมัธ แพ้แมนฯ ซิตี้ เสมอเชลซี เสมออาร์เซน่อล) ทั้งยังถูก เรอัล มาดริด อัดกลิ้งแบบหมดสภาพในเวทียุโรป
กางตารางคะแนนออกดู ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจจากเดอะค็อปรอบข้าง
เตะ 29 นัด มี 44 คะแนน อยู่อันดับ 8 ตามหลังทั้ง สเปอร์สอันดับห้า แอสตัน วิลล่าอันดับหก และ ไบรท์ตันอันดับเจ็ด
ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ลงเตะเท่ากันและรั้งอันดับสี่อยู่ 12 คะแนน (นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ลงเตะเท่ากันและมีคะแนนเท่ากับทีมปีศาจแดง)
แน่นอนครับ ความรู้สึกของหลายๆ คนในตอนนั้นมันเชื่อไม่ลงหรอกว่าลิเวอร์พูลจะมีลุ้นท็อปโฟร์ ก็ดูจากสภาพทีมแล้วไม่ไหวจะเยียวยา ต่อให้ยังเหลือคะแนนให้เก็บเพียงพอก็ตาม
แต่ฟุตบอลก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ของชีวิต ตราบใดที่ยังมีความหวัง มันก็ไม่ผิดที่จะหวัง ตราบใดที่เสียงนกหวีดจบเกมยังไม่ดังหรือฤดูกาลยังไม่จบ ความหวังนั้นก็มีวันเป็นจริงเสมอแม้มันจะริบหรี่เต็มทีก็ตาม ความพยายามยังคงมีคุณค่า เพราะไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรมันได้สร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาในตัวคุณ
สร้างความมุ่งมั่น สร้างทัศนคติไม่ยอมแพ้ สร้างความแข็งแรงทางใจ
ถ้าโชคดี สายน้ำก็อาจเปลี่ยนทิศทางได้ จากแพ้ก็อาจกลับเป็นชนะ แต่หากไม่พยายามเสียเลยหรือถอดใจยอมแพ้ไปก่อนด้วยคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอก อย่าหวังเลย เสียเวลาเปล่า คุณก็จะแพ้แน่นอนไม่มีโอกาสชนะเพราะคุณปิดประตูนั้นลงไปด้วยตัวเอง
ความเชื่อจึงเป็นเรื่องสำคัญ.. คุณเชื่อในโอกาสที่ยังเหลืออยู่มากแค่ไหน
ลิเวอร์พูลอาจจะเคยหกล้มทำไม่สำเร็จมาหลายครั้ง แต่การไม่ทิ้งความเชื่อก็ทำให้ทีมหงส์แดงกลับมาได้หลายหน ภารกิจอันน่าเหลือเชื่อต่างๆ เกิดขึ้นด้วยทัศนคติไม่ทิ้งความหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
กับคราวนี้มันจะเป็นอย่างนั้นไหมไม่รู้ สถานการณ์ยังคงเป็นรอง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับพื้นที่ท็อปโฟร์ แต่อย่างน้อยมันก็ดีขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของเดือนที่แล้วมาก
จาก 12 คะแนน เหลือแค่ 1 กับ 3 คะแนน แม้จะลงเตะมากกว่าอยู่หนึ่งนัดก็ตาม
เกมล่าสุดของลิเวอร์พูล นิวคาสเซิ่ล แมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึงไบรท์ตัน มีลักษณะที่ทั้งคล้ายและแตกต่างกัน แต่ที่แน่ๆ คือมีเพียงลิเวอร์พูลทีมเดียวที่ได้ประโยชน์
ลิเวอร์พูลคือทีมเดียวที่ชนะ ส่วนทีมสาลิกาดง ปีศาจแดง และนกนางนวลแพ้กันถ้วนหน้า หงส์แดงได้กำไรสามคะแนนแบบเน้นๆ
ในเกมล่าสุดกับเบรนท์ฟอร์ด ลิเวอร์พูลเน้นผลการแข่งขันมาก่อนเรื่องอื่น สามคะแนนคือเป้าหมายสูงสุด เรามองเห็นมันชัดเจนจากการไม่เสี่ยงเปิดหน้าบุกแหลกเอาประตูที่สองที่อาจทำให้ทีมเยือนมีโอกาสตีเสมอ ดึงเกมให้ช้า เพิ่มความแน่นอน เล่นอย่างระมัดระวังจนดูเหมือนอาการเกร็ง มันทำให้ 90 นาทีที่แอนฟิลด์ไม่ได้สนุกตื่นเต้นหรือถึงใจอย่างที่ควรจะเป็น
มันอาจจะกลายเป็นการเพิ่มโอกาสให้เบรนท์ฟอร์ดก็จริง แต่ทุกคนช่วยกันไม่ให้ทีมรุกของผู้มาเยือนได้คายพิษสง เอาเข้าจริงเบรนท์ฟอร์ดแทบไม่มีโอกาสทองที่จะทำประตูแบบน่าได้หรือต้องได้เลย และไม่ได้บุกกดดันลิเวอร์พูลจนปั่นป่วนอะไร ที่น่าชื่นชมมากอีกเรื่องคือการป้องกันลูกตั้งเตะที่เป็นอาวุธอันตรายของเบรนท์ฟอร์ดนั้นลิเวอร์พูลทำได้ยอดเยี่ยม หนักแน่น มีสมาธิจนกระทั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ เองยังต้องเอ่ยปากชม
สกอร์ 1-0 เหนือทั้งฟูแล่มและเบรนท์ฟอร์ดในสองเกมล่าสุดแสดงให้เห็นถึงแนวทางที่เปลี่ยนไป คือลิเวอร์พูลเลือกความปลอดภัยมาก่อน
จากการชนะแบบเสียประตูใน 4 เกมก่อนหน้า.. ลิเวอร์พูลชนะเกมศูนย์มา 2 นัดติดต่อกัน
เป็นบอลแบบหวังผลมากขึ้น สามคะแนนมาก่อนผลต่างประตูได้เสีย ความระแวดระวังมาก่อนความเสี่ยง
เน้นรัดกุมให้มากขึ้น เปิดหน้าแลกเพิ่มความเสี่ยงให้น้อยลง ได้ประตูขึ้นนำแล้วไม่จำเป็นต้องลุยแหลกเอาประตูที่สอง แม้การเล่นแบบรัดกุมที่ว่าจะทำให้แฟนบอลต้องใจหายใจคว่ำกันอยู่บ้างก็ตาม
เกมรับของลิเวอร์พูลยังไม่เข้าที่หรอกครับ มันยังห่างไกลจากความอุ่นใจมากพอดู แต่เวลานี้มีเกมรุกเป็นตัวช่วยทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายไปได้เยอะ
รูปแบบการเล่น 4-2-3-1 ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ใช้งานในเกมกับเบรนท์ฟอร์ดคือแผนการเล่นที่เราอาจจะได้เห็นบ่อยขึ้นเพราะมันสอดคล้องกับวิธีการใช้งานนักเตะในระหว่างเกม และกับเกมนี้ก็นับว่าเหมาะสมเพราะทีมเยือนไม่เซ็ตเกมแดนกลางสู้แต่บอลจะไดเร็กต์ตรงสู่พื้นที่ว่างหน้าเขตโทษเลย
แต่กระนั้นถ้าทีมต้องการกองกลางเพิ่มขึ้น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับหน้าที่ขยับเข้ามาช่วยแดนกลางอีกคนยามที่ทีมได้ครองบอลก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว มันหมายความว่าลิเวอร์พูลจะยังมีกองกลาง 3 คนเวลาทำเกมบุก และมันทำให้ทีมสามารถใช้ประโยชน์ได้จากตัวรุกที่ลงเล่นครบครันถึง 4 คนอีกด้วย อย่างเกมนี้ทั้ง ซาลาห์-โชต้า-คักโป และ ดิอาซ ลงสนามครบครัน
มันคือการทดลองใช้งานจริงในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดี คือการเร่งเครื่องเข้าป้ายให้ได้ตามเป้าหมายด้วยการชนะ 9 นัดติดต่อกัน
มีหวาดเสียว มีความผิดพลาด มีจุดบกพร่องให้เห็นทุกๆ เกม แต่เรื่องสำคัญกว่าคือทีมยังคงเล่นดีพอและมีประสบการณ์มากพอที่กำชัยเป็นผู้ชนะ
ลิเวอร์พูลกำลังมา.. ด้วยโมเมนตัมที่แรงขึ้นเรื่อยๆ ความเชื่อมั่นกลับคืน ความมั่นใจกลับมา ฟอร์มที่พร้อมเป็นผู้ชนะก็คืนสู่ทีมทันท่วงที
ลิเวอร์พูลเดินหน้าสู่ 3 เกมสุดท้ายของฤดูกาลด้วยการชนะมาแล้ว 6 นัดติดต่อกัน เป้าหมายแน่วแน่ที่การชนะ 9 นัดรวดจนจบซีซั่น
ทำเป้าหมายนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาดูผลลัพธ์กันอีกทีว่าจะมีรางวัลอะไรตอบแทนกลับคืนมาบ้างไหม แน่นอนรางวัลใหญ่ที่สุดย่อมหนีไม่พ้นตั๋วไปเตะแชมเปี้ยนส์ ลีก
ความได้เปรียบอาจจะไม่ได้อยู่ในมือลิเวอร์พูล พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่มันเป็นความมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าถ้าทำได้ตามเป้าหมายชนะรวด 9 นัดสุดท้ายจริง.. ความหวังที่เคยริบหรี่ก็อาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้
ไม่ใช่สิ มันเป็นไปได้เลยล่ะ..
ทิศทางของลิเวอร์พูลดูจะสวนทางกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่แสดงออกชัดเจนที่สุดว่ากำลังพบกับปัญหา
ความมั่นใจที่เคยมีกลับไม่สม่ำเสมอ สมาธิหลุดง่ายกว่าเดิม ที่สำคัญคือยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความเชื่อคล้ายจะถูกลดทอน สองจิตสองใจ อยากบุกเพื่อชนะก็กลัวพลาด อยากรับเพื่อยันเสมอก็ปั่นป่วน หลายเกมแล้วที่เราไม่ได้เห็นยูไนเต็ดโหมบุกคู่แข่งแบบเอาตายในช่วงท้ายเกม เหมือนกับว่ามีหนึ่งคะแนนอยู่ในมือก็เอาไว้ก่อน ประคองตัวให้จบเกมไม่แพ้เข้าไว้ดีที่สุด
ถ้าสถานการณ์บนตารางคะแนนยังเป็นอย่างเดิมมันก็อาจไม่เสียหาย แต่นาทีนี้มันไม่ใช่เสียแล้ว ความไม่เด็ดขาดและกังวลของยูไนเต็ดถูกลงโทษด้วยการไม่มีคะแนนติดมือเลยในสองเกมล่าสุด
มันยิ่งเจ็บปวดขึ้นไปอีกเมื่อความพ่ายแพ้ทั้งสองครั้งเกิดจากความผิดพลาดเฉพาะบุคคล ทั้งแฮนด์บอลเสียจุดโทษของ ลุค ชอว์ ในเกมแพ้ไบรท์ตัน และการปัดบอลไม่ดีของ เดบิด เด เคอา ในเกมแพ้เวสต์แฮม
ไม่ใช่ภาพที่ดีแน่ เพราะมันหมายถึงเมื่อคุณเสียสมาธิ หรือย่อหย่อนแค่ในบางพื้นที่ คุณถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงาน
ความวิตกน่าจะยังเกาะกุมอยู่ในใจของนักเตะปีศาจแดง พวกเขาต้องการเกมที่จะพิชิตความวิตกนั้นให้ราบ และมันต้องเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
ส่วนนิวคาสเซิ่ลยังคงมีความมั่นใจให้เห็น พวกเขามีฟุตบอลของตัวเอง มีแรงศรัทธาจากแฟนบอลของตัวเอง มีสปิริตความกลมเกลียวที่ช่วยได้ในยามที่ยากลำบากหรือต้องการพลังเสริม
การแพ้อาร์เซน่อลเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทีมปืนใหญ่คือทีมระดับลุ้นแชมป์ และยังเน้นเต็มที่กับผลการแข่งขันทุกนัด แม้สถานการณ์บนตารางคะแนนจะน่าหวาดเสียวขึ้นทว่าตลอดฤดูกาลที่ผ่านมานิวคาสเซิ่ลไม่เคยแสดงให้เห็นว่าแผ่วหรือมีปัญหาในห้องแต่งตัวที่สะท้อนออกมาสู่เกมในสนามเลย
สปิริตยังคงหนักแน่นสำหรับทีมสาลิกา ผมคิดว่าในภาพรวมแล้วพวกเขายังดูแน่นอนที่สุดเมื่อเทียบในหมู่ทีมที่ลุ้นท็อปโฟร์ด้วยกัน
เหลือเพียงประสบการณ์การเบียดเสียดสู้แรงกดดันของการชิงตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ ลีกที่เป็นคำถามสำหรับพวกเขา และแน่นอน 4 เกมสุดท้ายของฤดูกาลจะให้คำตอบ
ขณะที่ไบรท์ตันกลายเป็นทีมที่มีผลการแข่งขันเหวี่ยงไปมามากที่สุด พวกเขาชนะ 3 แพ้ 3 ใน 6 เกมหลังสุด แต่การแพ้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทั้งที่ขึ้นนำไปก่อนและถูกเอฟเวอร์ตันบุกถล่ม 1-5 ต่อหน้ากองเชียร์ในเอเม็กซ์ สเตเดี้ยมคือเรื่องเสียหายหนักจริงๆ
รับมือทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินเมื่อคืนวันจันทร์คือเกมที่ไบรท์ตันต้องได้สามคะแนนเท่านั้นเพื่อเพิ่มความกดดันใส่นิวคาสเซิ่ล แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล เป็นภาคบังคับที่ต้องชนะก็ไม่ผิดเพราะไม่เพียงสภาพของเอฟเวอร์ตันแย่เหลือหลายเท่านั้นแต่โปรแกรมเตะที่เหลือของไบรท์ตันยังหนักกว่าเพื่อนเมื่อต้องเจอกับทั้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาร์เซน่อล และไปเยือน เซนต์ เจมส์ พาร์ค กับ วิลล่า พาร์ค
ที่สำคัญความปราชัยในเกมนี้ทำให้ความได้เปรียบจากเกมตกค้างในมือหายไป กลายเป็นว่าทีมนกนางนวลมีสถานการณ์เป็นรองที่สุดในกลุ่มสี่ทีมลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์
แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ห้ามประมาทเด็ดขาด
จากสี่เอาสอง.. การฟาดฟันในช่วงสุดท้ายของฤดูกาลอาจจะไปตัดสินกันที่เกมปิดซีซั่นเลยก็ได้นะครับ
ตังกุย
---------------------------
โปรแกรมเตะที่เหลือของทั้ง 4 ทีม
นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (34 นัด 65 คะแนน)
-เสาร์ 13 พ.ค. ลีดส์ ยูไนเต็ด (เยือน)
-พฤหัสฯ 18 พ.ค. ไบรท์ตัน (เหย้า)
-จันทร์ 22 พ.ค. เลสเตอร์ ซิตี้ (เหย้า)
-อาทิตย์ 28 พ.ค. เชลซี (เยือน)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (34 นัด 63 คะแนน)
-เสาร์ 13 พ.ค. วูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า)
-เสาร์ 20 พ.ค. บอร์นมัธ (เยือน)
-พฤหัสฯ 25 พ.ค. เชลซี (เหย้า)
-อาทิตย์ 28 พ.ค. ฟูแล่ม (เหย้า)
ลิเวอร์พูล (35 นัด 62 คะแนน)
-จันทร์ 15 พ.ค. เลสเตอร์ ซิตี้ (เยือน)
-เสาร์ 20 พ.ค. แอสตัน วิลล่า (เหย้า)
-อาทิตย์ 28 พ.ค. เซาธ์แฮมป์ตัน (เยือน)
ไบรท์ตัน (33 นัด 55 คะแนน)
-อาทิตย์ 14 พ.ค. อาร์เซน่อล (เยือน)
-พฤหัสฯ 18 พ.ค. นิวคาสเซิ่ล (เยือน)
-อาทิตย์ 21 พ.ค. เซาธ์แฮมป์ตัน (เหย้า)
-พุธ 24 พ.ค. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (เหย้า)
-อาทิตย์ 28 พ.ค. แอสตัน วิลล่า (เยือน)