ถึงตอนนี้ แฟนบอลลิเวอร์พูลก็เริ่มจะมีความหวังกันบ้างแล้วล่ะครับ เมื่อเหลือบมองดูอันดับบนตารางคะแนนที่ช่องว่างห่างจากอันดับ 4 เพียงแต้มเดียว แม้จะลงแข่งมากกว่าหนึ่งนัดก็ตาม
ย้อนไปถึงวันได้ชัยชนะเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด 7-0 ความจริงตอนนั้น เดอะ ค็อป ต่างพากันตั้งความหวังกันบ้างแล้ว หากแต่ให้หลัง 6 วัน กลับแพ้ บอร์นมัธ ต่อด้วยร่วงตกรอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งหลายคนก็ยกขาว ก้มหน้ายอมรับต่อโชคชะตาว่า "ฤดูกาลนี้มันจบแล้ว"
ไม่ผิดเลยที่ใครจะมองและคิดแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องแค่อันดับคะแนน แต่ด้วยเรื่องฟอร์มการเล่นที่ดูแล้วให้ขุนยังไงก็ขุนไม่ขึ้น
หนำซ้ำ โปรแกรมแสนหนัก 3 เกมที่จำต้องเจอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี และ อาร์เซน่อล ไล่เรียงกัน มันอารมณ์ราวกับว่า "Do or Die" คือถ้าผ่านได้ก็ยังไปต่อ แต่ถ้าแย่ก็คงต้องจบกัน
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น 3 นัดที่ว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้รับชัยชนะเลยสักนัด เริ่มต้นด้วยการบุกแพ้ "เรือใบ" ของพี่เป๊ป แบบหมดสภาพไม่เหลือซากความเป็นคู่แข่งแย่งแชมป์ปีก่อน
ต่อด้วยการเล่นแบบชวนหลับที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่เอาตัวรอดแบ่งแต้มจากเจ้าบ้าน ก่อนจะมาถึงช่วง 23 นาทีแรกที่เปิด แอนฟิลด์ รับมือ อาร์เซน่อล แล้วโดนอาคันตุกะบุกล่อเป้า 2 เม็ดแบบมึน ๆ
แต่บางที สิ่งดี ๆ มันก็เกิดขึ้นในแบบที่เราไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน
45 นาทีช่วงครึ่งหลังในเกมเจอ "ไอ้ปืนใหญ่" เจอร์เก้น คล็อปป์ เติมเชื้อเพลิงในเครื่องจักรสีแดงคันเดิมให้มีชีวิตชีวา
พร้อมกับการเริ่มต้นสูตรการเล่นแบบใหม่ ปรับบทบาท เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ให้มีส่วนร่วมกับเกมแดนกลางมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะเรียกกำลังความฮึดจนสามารถกลับมาแบ่งแต้มจากลูกทีม มิเกล อาร์เตต้า ได้ แต่จากคะแนนมันก็ไม่มีใครคาดหวังว่า ลิเวอร์พูล จะขึ้นไปจบท็อปโฟร์ได้
แม้กระทั่ง คล็อปป์ เองก็ยอมรับว่าการจะติด 4 อันดับแรกนั้นเป็นเรื่องที่ยาก มันไม่ใช่แค่ทำตัวเองให้ดีที่สุด แต่ต้องหวังพึ่งให้ทีมอื่นพลั้งพลาด
เขาจึงบอกไว้หลังเกมบุกชนะ ลีดส์ 6-1 ไว้ว่า ไม่ว่า ลิเวอร์พูล จะลงเอยที่เท่าไหร่ จะได้ไป แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือไม่ ไม่สำคัญ
สำคัญคือ ทุกเกมที่เหลือต่อจากนี้ ลิเวอร์พูล ภายใต้การทำงานของเขา ต้องกลับมาเล่นให้ดีมีทรง มีความกระหาย มีแพสชั่น มีความเข้าใจในเกมเหมือนดังเก่า ทั้งหมดก็เพื่อต่อยอดไปยังฤดูกาลหน้า
สถานการณ์พาให้ย้อนถึงฤดูกาล 2020/21 ก็จริง แต่เทียบช่วงเวลาจำนวนเดียวกัน ปีมหัศจรรย์ครั้งนั้น ในจำนวนเกมที่เหลือ 9 นัด ลิเวอร์พูล ตามอันดับ 4 อย่าง เชลซี แค่ 5 แต้ม
ทางตรงกันข้าม กับฤดูกาลนี้นับจากจบแมตช์เดย์ที่ 29 ลิเวอร์พูล มีช่องว่างห่างอันดับ 4 แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 12 คะแนน
ฉะนั้น ไม่มีใครที่จะคิดเกินเลย ทำความเข้าใจและยอมรับความจริงว่าขอแค่ได้ไป -ยูโรปา ลีก- ก็พอใจแล้ว
แต่บางครั้งความหวังก็เข้ามาพร้อมกับการที่ไม่คาดหวัง
มีใครจะเชื่อบ้างว่า..นอกจากที่ ลิเวอร์พูล เข้าเบรคคว้าชัย 6 เกมติดต่อกัน มันมาพร้อมกับทีมข้างบนที่พร้อมใจสะดุดขาตัวเอง
5 เกมหลังสุด ทั้งลีก มีแค่ แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล เท่านั้นที่เก็บได้ 15 คะแนนเต็ม ขณะที่ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่างเก็บได้ 9 กับ 7 แต้มตามลำดับ
ผลปรากฏคือระยะห่างคะแนนกับ "ปีศาจแดง" ร่นเหลือแต้มเดียว โดยที่พลพรรคอสูรยังมีเกมในมืออีกหนึ่งนัด ขณะเดียวกันก็ไล่ตามหลัง "สาลิกาดง" 2 คะแนน ซึ่ง “เดอะ แม็กพายส์” เหลือเกมให้เก็บอีกนัดเช่นกัน
ถึงกระนั้น จะบอกว่ามีแค่สามทีมที่ลุ้นท็อปโฟร์ ก็คงไม่ได้
หากแต่ยังมี ไบรท์ตัน ที่แม้ไล่หลังอันดับ 4 อยู่ 8 แต้มก็จริง ทว่าเกมในมือมีมากกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด 2 นัด ฉะนั้นแล้วหาก "เดอะ ซีกัลส์" คว้าชัยได้หมด แต้มจะเหลือห่างแค่สอง
พื้นที่นอกท็อปโฟร์ ขอหยิบยกแค่ ลิเวอร์พูล กับ ไบรท์ตัน ละกันนะครับ เพราะแม้ในทางทฤษฎี ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ยังมีโอกาส แต่ในทางปฏิบัติ "ไก่เดือยทอง" คงไม่สามารถขึ้นท็อปโฟร์ได้จริง
สำหรับ "หงส์แดง" กับ "นกนางนวล" คะแนนที่จะโกยได้มากที่สุดตอนจบฤดูกาลคือ 71 กับ 73
เท่ากับว่า นิวคาสเซิ่ล ขอ 7 แต้มจาก 4 นัดเพื่อการันตีติดท็อปโฟร์ ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ขอ 9 แต้มจาก 4 นัด
คราวนี้ มาดูกันว่า โปรแกรมที่เหลือ งานของแต่ละทีมยากมากน้อยแค่ไหน
นิวคาสเซิ่ล(34 นัด 65 คะแนน - แต้มมากสุดที่จะทำได้ 77) : ออกไปเยือน ลีดส์, เล่นในบ้านเจอ ไบรท์ตัน กับ เลสเตอร์ และปิดท้ายออกไปเยือน เชลซี
แมนฯ ยูไนเต็ด(34 นัด 63 คะแนน - แต้มมากสุดที่จะทำได้ 75) : เล่นในบ้านเจอ วูล์ฟส์, ไปเยือน บอร์นมัธ และเล่นในบ้าน 2 เกมสุดท้ายรับมือ เชลซี กับ ฟูแล่ม
ลิเวอร์พูล(35 นัด 62 คะแนน - แต้มมากสุดที่จะทำได้ 71) : ไปเยือน เลสเตอร์, เล่นในบ้านเจอ แอสตัน วิลล่า และไปเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน
ไบรท์ตัน(32 นัด 55 คะแนน - แต้มมากสุดที่จะทำได้ 73) : เล่นในบ้านเจอ เอฟเวอร์ตัน, ออกเยือน 2 เกมติดเจอ อาร์เซน่อล กับ นิวคาสเซิ่ล, เล่นในบ้านเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน กับ แมนฯ ซิตี้ และปิดท้ายไปเยือน แอสตัน วิลล่า
เห็นแล้วลองคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นดูครับว่า สุดท้ายแล้วใครจะจบที่แต้มเท่าไหร่
แม้ความหวังมันผุดขึ้นมาจากความคิด แต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ในมือของ นิวคาสเซิ่ล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ดี
เพียงแต่ไม่มีใครรู้เลยว่า อนาคตจะเกิดขึ้นเช่นไร ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน ซึ่งความไม่แน่นอนต่างหากเป็นสิ่งจีรัง
คนเราบางทีก็มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวังนะครับ สำหรับบางคนมันคือสิ่งชะโลมจิตใจให้เดินหน้าทำอะไรสักอย่างจนสำเร็จ
ความหวังมันมีอิสระในตัวของมัน ไม่เกี่ยงว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน ขอเพียงพยายามทำต่อไป หากเกิดข้อผิดพลาดก็เรียนรู้แก้ไข
สิ่งสำคัญคือ ความเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเองว่าจะพัฒนาต่อไปได้ ไม่สำเร็จครั้งนี้ก็ไม่เป็นไร เริ่มต้นใหม่ไม่มีใครว่า
แต่คราวนี้ พวกเราขอหวังอีกสักตั้ง และพร้อมยอมรับความจริงทุกอย่างไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
HOSSALONSO