ยกเครื่องทีม! ย้อนดู 5 ซีซั่นการสร้างทีมใหม่ ลิเวอร์พูล ก่อนเตรียมทุ่มอีกครั้งซัมเมอร์นี้

ยกเครื่องทีม! ย้อนดู 5 ซีซั่นการสร้างทีมใหม่ ลิเวอร์พูล ก่อนเตรียมทุ่มอีกครั้งซัมเมอร์นี้
ลิเวอร์พูล ต้องเจอกับความยากลำบากในการรักษาฟอร์มการเล่นในฤดูกาลนี้ ทำให้พวกเขาต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนในการลุ้นทำโควตา ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พร้อมทั้งการจบซีซั่นแบบไร้โทรฟี่แชมป์ ด้วยเหตุนี้ทำให้ "หงส์แดง" เตรียมที่จะต้องยกเครื่องขุมกำลังใหม่อีกครั้งในช่วงซัมเมอร์นี้ เพื่อหวังที่จะสร้างทีมกลับมาลุ้นความสำเร็จอีกครั้ง

"เดอะ เร้ดส์" เคยทุ่มเงินในช่วงซัมเมอร์หลายครั้ง โดยบางครั้งการทุ่มทุนสร้างทีมก็ตรงตามแผนที่วางเอา แต่บางครั้งก็ผิดพลาดเหมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ อย่างไรก็ตามการสร้างทีมยังคงจำเป็น และแน่นอนว่าต้องมีความรอบคอบเพื่อให้การจ่ายเงินออกไปคุ้มค่าที่สุด

ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา พวกเขาค่อนข้างโดนค่อนขอดจากการจ่ายเงินกว่า 85 ล้านปอนด์ (ราว 3,570 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว ดาร์วิน นูนเญซ แต่หลายคนมองว่าผลงานของเขาไม่ค่อยคุ้มกับเม็ดเงินที่เสียไป แต่กระนั้นในช่วงตลาดรอบ 2 เดือนมกราคม การคว้าตัว โคดี้ กัคโป ถือว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียว

แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล เคยควักกระเป่าเสริมทัพทุกช่วงซัมเมอร์ แต่งานนี้ลองมาดูการลงทุน 5 ครั้งสำคัญที่พวกเขายกเครื่องขุมกำลัง  และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากจบฤดูกาลนั้นๆ สามารถตอบแทนเม็ดเงินที่ทีมจ่ายไปคุ้มค่า หรือกลายเป็นการโยนงบประมาณสโมสรทิ้งลงทะเล  หรือไม่ มาพิจารณากันเลย 

ฤดูกาล 2007/2008 : 70 ล้านปอนด์ (ราว 2,940 ล้านบาท)


ตอนนั้น ลิเวอร์พูล ควักกระเป๋าเป็นสถิติสโมสรเพียงแค่ตลาดนักเตะรอบเดียว หลังจากทีมจบซีซั่นก่อนหน้านั้นในอันดับ 3 ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดย ราฟาเอล เบนิเตซ ทุ่มเงินมหาศาลในการยกเครื่องทีม และมีการเซ็นสัญญากับนักเตะชั้นยอดหลายคนเลยทีเดียว

เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกชาวสแปนิช ย้ายมาจากแอตเลติโก มาดริด ขณะที่ ลูคัส เลว่า เซ็นสัญญาด้วยค่าตัวเบาๆ สบายๆ นอกจากนี้ยังมี อังเดร โวโรนิน , คริสเตียน เนเม็ธ และ เซบาสเตียน เลโต้ ซึ่งถือเป็นการคว้าตัวมาไม่ค่อยแพงมากนัก

ขณะเดียวกันทีมได้ทุ่มเงินก้อนโตคว้าตัว ไรอัน บาเบล และ ยอสซี่ เบนายูน แต่ทั้งสองคนไม่ค่อยผลิตผลงานออกมาได้คุ้มกับค่าตัวที่ ลิเวอร์พูล จ่ายไป แม้ทีมจะแพ้เพียงแค่ 4 เกมตลอดทั้งซีซั่นดังกล่าวก็ตาม แต่พวกเขาจบในอันดับ 4 แถมยังแพ้ เชลซี ตกรอบรองชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 

ฤดูกาล 2011/2012 : 56.9 ล้านปอนด์ (ราว 2,390 ล้านบาท)


2-3 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล ใช้เงินเยอะมากในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งซัมเมอร์ แต่บทสรุปก็คือการลงทุนในช่วงนั้นผิดพลาดสุดๆ ยกตัวอย่าง สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ซึ่งพวกเขาจ่ายเงินถึง 20 ล้านปอนด์ (ราว 840 ล้านบาท) แต่ปีกเลือดผู้ดีกับไม่สามารถปรับตัวในการเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ได้

นอกจากนี้ "หงส์แดง" ยังทุ่มเงินสูงมากในการเซ็นสัญญากับ ชาร์ลี อดัม และ เซบาสเตียน โคอาเตส ขณะที่ เคร็ก เบลลามี่ ย้ายมาเล่นแบบฟรีเอเจ้นต์ อย่างไรก็ตามทั้งสามคนทำผลงานได้ไม่ดีพอกับการสวมชุดของลิเวอร์พูล ในช่วงเวลานั้น 

อย่างไรก็ตามทีมลงทุนได้ดีในการเซ็นสัญญากับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ โฆเซ่ เอ็นรีเก้ กระนั้นผลงานของทีมค่อนข้างน่าผิดหวัง เพราะสโมสรจบเพียงอันดับ 8 ในลีกเท่านั้น กระนั้น "หงส์แดง" สามารถคว้าแชมป์ ลีก คัพ (คาราบาว คัพ) ภายใต้การคุมทัพของ เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช 

ฤดูกาล 2014/2015 : 132.3 ล้านปอนด์ (ราว 5,557 ล้านบาท)


พวกเขาทำผิลพลาดเรื่องการเสริมทัพในช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามทีมไม่เข็ดกับการลงทุน เพราะในยุคที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุมบังเหียน "หงส์แดง" เขาเข้าไปเคาะประตูห้องบอร์ดบริหารพร้อมโน้มน้าวให้ทุ่มทุนสร้างทีมเป็นสถิติสโมสรในช่วงซัมเมอร์ปี 2014 หลังจาก หลุยส์ ซัวเรซ อำลาถิ่นแอนฟิลด์ "เดอะ เร้ดส์" ต้องพบกับความผิดหวังกับการชวดแชมป์พรีเมียร์ลีกในซีซั่นก่อนหน้านั้น ทำให้ กุนซือชาวไอริชเหนือ ออกอาการคลั่งสุดๆ เพราะหวังจะนำความสำเร็จสู่สโมสรจึงต้องอ้อนผู้บริหารให้เสริมทัพครั้งใหญ่ โดยมีการดึงผู้เล่นมากมาย อาทิตเช่น มาริโอ บาโลเตลลี่, ลาซาร์ มาร์โควิช, ริคกี้ แลมเบิร์ต และ อัลแบร์โต้ โมเรโน่ ซึ่งทั้งหมดนี้คือการเซ็นสัญญาที่ผิดพลาดของเขา

เดยัน ลอฟเรน, เอ็มเร่ ชาน, ดิว็อค โอริกี้ และ อดัม ลัลลาน่า ถือว่าประสบความสำเร็จกับทีม แต่กระนั้นเมื่อบวกลบคูณหารกับเม็ดเงินที่สโมสรจ่ายไปในช่วงซัมเมอร์นั้นบอกเลยว่า ลิเวอร์พูล ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะพวกเขาจบอันดับ 6 เท่านั้น

ฤดูกาล 2015/2016: 104 ล้านปอนด์ (ราว 4,368 ล้านบาท)


ซัมเมอร์สุดท้ายภายใต้การคุมทัพของ ร็อดเจอร์ส ต้องบอกว่าเขาทำเรื่องที่เจ็บจี๊ดหัวใจสาวก "เดอะ ค็อป" มากๆ เพราะได้ตัดสินใจขาย ราฮีม สเตอร์ลิง ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากนั้นก็นำเงินไปใช้จ่ายแบบไร้สาระในการซื้อนักเตะอีกครั้ง

"หงส์แดง" เซ็นสัญญาเป็นสถิติของสโมสรด้วยการคว้าตัว คริสติย็อง เบนเตเก้ มาจาก "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า แต่เขาย้ายไปเล่นให้ คริสตัล พาเลซ หลังจากใช้เวลาอยู่แค่ 1 ซีซั่นกับ ลิเวอร์พูล และยิงได้ 10 ประตูในทุกรายการเท่านั้น 

กระนั้นในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 ร็อดเจอร์ส ได้เซ็นสัญญากับนักเตะชั้นดีอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ จาก ฮอฟเฟ่นไฮม์, นาธาเนียล ไคลน์ ซึ่งทั้งสองคนโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วน แดเนี่ยล อิงส์ กับ โจ โกเมซ ก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะจ่ายไม่แพ้ ส่วน เจมส์ มิลเนอร์ ได้ตัวมาแบบฟรีๆ 

แม้บทสรุปสุดท้าย  ร็อดเจอร์ส จะโดนปลดออกจากตำแหน่งในช่วงกลางซีซั่นดังกล่าว พร้อมกับสโมสรได้แต่งตั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทัพ ซึ่งพวกเขาทำได้เพียงแค่อันดับ 8 ในลีก และเข้าชิงศึกยูโรปา ลีก กับ คาราบาว คัพ แต่ได้แค่รองแชป์ทั้งสองรายการ 

ฤดูกาล 2018/2019 : 159.5 ล้านปอนด์ (ราว 6,699 ล้านบาท)


ต้องบอกเลยว่านี่คือซัมเมอร์ที่มีการลงทุนอย่างมหาศาลสำหรับ ลิเวอร์พูล ในยุค คล็อปป์ โดยก่อนที่ซีซั่น 2018/2019 จะเปิดฉาก ทีมได้คว้าผู้เล่นสำคัญเริ่มตั้งแต่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิล จาก "หมาป่าเหลืองแดง" โรม่า ด้วยค่าตัวถึง 67 ล้านปอนด์ (ราว 2,814 ล้านบาท) ซึ่งเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันคุ้มค่าทุกเพนนี

นอกจากนี้ทีมยังได้เซ็นสัญญากับนักเตะที่เล็งมานานอย่าง นาบี เกอิต้า ตามด้วย ฟาบินโญ่ สตาร์กองกลางเลือดแซมบ้า มาจาก โมนาโก ซึ่งต้องบอกเลยว่าเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะนักเตะตกเป็นข่าวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาตลอด 

ยังไม่หมดแค่นั้นทีมจัดการคว้าตัว เซอร์ดาน ชากีรี่ มาจาก "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี้ แน่นอนว่าทีมยังเสริมทัพนักเตะอีกหลายคน และเป็นการทุ่มเงินเยอะมากๆ เพื่อหวังจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้ สุดท้ายการเก็บได้ 97 คะแนนและแพ้แค่เกมเดียวในลีกแต่กับเป็นเพียงรองแชมป์ โดยเป็นรองแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่แต้มเดียวเท่านั้น 

อย่างไรก็ตามการลงทุนมหาศาลไม่สูญเปล่า เนื่องจาก คล็อปป์ สามารถนำ ลิเวอร์พูล คว่ำ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 ของสโมสร และจากนั้นในซีซั่นถัดมาพวกเขาก็บรรลุเป้าหมายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างยิ่งใหญ่ 

ทอมเม้ง


ที่มาของภาพ : gettyimages, mirror.co.uk
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport