อาร์เซน่อล กลับมานำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังจากไม่ชนะมา 4 เกมติดต่อกัน เมื่อเปิดบ้านพิชิต เชลซี ไปได้แบบสบายๆ ด้วยสกอร์ 3-1
ส่วน "สิงห์บลูส์" พุ่งชนความปราชัยแบบ 100% เต็ม นับตั้งแต่ไปเชิญ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กลับมาคุมทีม และนี่คือสิ่งที่อยากจะบอก
1.มิเกล อาร์เตต้า ปรับแต่งทีมเล็กน้อย หลัง 4 เกมที่ผ่านมา สะสมได้แค่ 3 แต้ม และเสียไปถึง 11 ประตู
วิลเลี่ยม ซาลิบา ยังไม่หายเจ็บ ยาคุบ คิวิออร์ ปราการหลังดาวรุ่งทีมชาติโปแลนด์ได้ลงเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็คแทน ร็อบ โฮลดิ้ง
ตรงกลางก็ให้ จอร์จินโญ่ ลงแทน โธมัส ปาเตย์ บ้าง ขณะที่แดนหน้า เลอันโดร ทรอสซาร์ ลงเล่นในตำแหน่ง "หน้าซ้าย" แทนที่ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่
นอกนั้นเหมือนเดิม
สำหรับ เชลซี
"พี่แฟร้งค์" ปรับเปลี่ยนระบบการเล่นจาก "หลังสาม" มาเป็น 4-3-3 รวมถึงปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นอีกบานในเกมที่ต้องออกมาเยือนทีมปืนโต
คู่เซ็นเตอร์ฯ คือ ติอาโก้ ซิลวา กับ เวสลี่ย์ โฟฟาน่า ฟูลแบ็ค 2 ข้าง ทางขวา เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ทางซ้าย เบน ชิลเวลล์
กลาง 3 คน ประกอบด้วย เอ็นโซ เฟร์นานเดซ, มาเตโอ โควาซิช และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้
หน้า 3 ตัว ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กลับมาลงเป็นตัวจริงอีกครั้งในรอบครึ่งปี โดยรับบทหัวหอกตัวเป้า ขนาบข้างด้วย โนนี่ โมดูเอเก้ ทางขวา และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ทางซ้าย
และต่อไปเป็นรายชื่อผู้เล่นระดับดาวดังมูลค่าสูงส่งของ เชลซี ที่ไม่ได้ลงตัวจริงในเกมนี้
รีซ เจมส์, คาลิดู คูลิบาลี่, มาร์ก คูคูเรย่า, เมสัน เมาต์ (หายสาบสูญ), คริสเตียน พูลิซิช, ฮาคิม ซิเย็ก, ชูเอา เฟลิกซ์, คอร์นอร์ กัลลาเกอร์, มิไคโล มูดริค และ ไค ฮาแวร์ตซ์
2.สถานการณ์บังคับให้ไอ้ปืนใหญ่ต้องชนะเพียงสถานเดียวเท่านั้น
...ว่าแล้วพวกเขาก็เปิดเกมรุกใส่แบบเต็มสูบ ก่อนบุกกดดันอยู่ข้างเดียวตั้งแต่เริ่มเกม โดยไม่อนุญาตให้ผู้มาเยือนเล่นเกมรุก ด้วยการบีบไล่บอลในแดนบนพลางพุ่งเข้ารุมแย่งบอลแบบเป็นหมู่คณะทุกจังหวะ
ผู้เล่นสายพันธุ์ เดอะ กันเนอร์ส แสดงความหื่นกระหายในชัยชนะออกมาอย่างชัดเจน ผิดกับ เชลซี ที่ถูกกดจนโงหัวไม่ขึ้น และจมูกต้องยืมรูตูดมาช่วยหายใจ ต่อบอลกันได้ไม่กี่จังหวะก็จะเสียการครอบครอง
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง 2 ทีมนี้คือ 'ทีมเวิร์ค' และสิ่งที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า...แพสชั่น
การกลับมาของดาวเตะในตำนานของ เชลซี อย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่ได้ช่วยอะไรตรงจุดนี้เลย !!!
3.เพียง 18 นาที ทำนบของสิงโตน้ำเงินที่มาตั้งรับอย่างเดียวก็แตก และภายในเวลาแค่ 34 นาที
อาร์เซน่อล นำห่าง 3-0 ด้วยรูปเกมที่เหนือกว่ามากมาย
ขนาดกลาง 3 ตัวของ เชลซี จัดอยู่ในประเภทเชิงรับทั้งหมดก็ยังต้านเกมรุกของทีมเจ้าบ้านไม่อยู่ ขณะที่เกมรุกและเกมโต้กลับกลายเป็นอัมพาต เพราะจ่ายบอลกันสะเปะสะปะพลางเอาตัวรอดกันไปเป็นชอตๆ โดยไม่มีการสอดประสาน
แล้วก็เห็นฝีมือในการแก้เกมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เมื่อพี่แกถอดกองหน้าตัวเป้าอย่าง ปิแอร-เอเมอริค โอบาเมยอง ที่แทบไม่ได้สัมผัสบอลออกแล้วส่ง ไค ฮาแวร์ตซ์ ลงมาเล่นเป็นหัวหอกแทน
อืมมมมมม...นะ
แดนกลางสร้างสรรค์เกมรุกไม่ได้ ตัวริมเส้นก็สร้างสรรค์เกมรุกไม่ได้ แถมต่างคนต่างเล่น ไม่มีทีมเวิร์ค กูเอากองหน้าที่ไม่มีส่วนร่วมกับเกม เพราะบอลไม่ถึงออกจากสนามก่อนคนแรกเลย
เจริญล่ะครับ
ไอ้ที่ตีไข่แตกได้ และไม่เสียประตูเพิ่มในครึ่งหลัง นั่นเพราะ อาร์เซน่อล ถอนตีนจากคันเร่งพลางเล่นแบบประคองตัวและถนอมแรงเอาไว้ซะมากกว่า
4.ผมไม่เข้าใจท่านเจ้าของสโมสรสิงห์บลูส์ และพวกผู้บริการของพวกเขาจริงๆ นะครับ
ผู้จัดการทีมระดับอ๋องอย่าง ยูเลี่ยน นาเกลส์มัน, หลุยส์ เอ็นริเก้ หรือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ว่างอยู่แท้ๆ แต่กลับไปเอา แฟร้งค์ แลมพาร์ด มารักษาการแทนมำแมวน้ำอะไร ???
โอเคย์...เข้าใจแหละว่า เพื่อให้มันผ่านฤดูกาลนี้ไปก่อนแล้วค่อยแต่งตั้งผู้จัดการทีมแบบถาวรคนใหม่ เหมือนในยุคเสี่ยหมีที่มักเอา กุส ฮิดดิ้งค์ มารักษาการแทน
แต่เปลี่ยนกุนซือภาษาอะไรให้ฟอร์มการเล่นกับผลงานมันห่วยแตกกว่าเดิม
แบบนี้แนะนำให้ดึง แกรห์ม พ๊อตเตอร์ กลับมารักษาการแทน แฟร้งค์ แลมพาร์ด แบบชั่วคราวไปก่อนดีกว่า 5555
เห็นรายชื่อผู้เล่นใหม่ที่เจ้าของทีมอย่าง "เสี่ยต๊อด" ลงทุนลากเข้ามาโดยวอดวายไปกว่า 500 ล้านปอนด์ แล้วรู้สึกขัดแย้งกับแนวทางการแต่งตั้งผู้จัดการทีมชอบกล
คือเอาผู้จัดการทีมมาวางระบบและโครงสร้างในระยะยาว แต่กลับซื้อตัวแบบสะเปะสะปะเหมือนจับปูใส่กระด้ง
ทั้งกุนซือคนเก่าและกุนซือคนใหม่ (ชั่วคราว) ต่างหาสูตรที่ลงตัวไม่ได้ เดี๋ยว 3-4-3 เดี๋ยว 3-5-2 เดี๋ยว 4-3-3 เช่นเดียวกับหา 11 ตัวจริงที่เหมาะสมและลงตัวที่สุดไม่เจอ
ระบบการเล่นและตัวผู้เล่นถูกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกนัด มันจึงหาความสมดุลย์ไม่ได้
เกมรับอ่อนยวบยาบ เสียประตูง่าย เกมรุกก็ไม่มีประสิทธิภาพ
ผลงานจึงออกมา...เละเทะ
5.ส่วน อาร์เซน่อล
พวกเขากลับมาโชว์ฟอร์มไฉไลพลางกะซวกชัยจนกลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง
แต่เหมือนดีใจได้ไม่สุด เพราะสถานการณ์ยังคงเป็นรอง แมนฯ ซิตี้ ที่แข่งน้อยกว่าถึง 2 นัด
ต่อให้หลุดเสมอ 2 นัด ทีมเรือใบก็ยังมีผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า
สิ่งที่พลพรรคปืนโตต้องทำในตอนนี้คืออย่าเพิ่งถอดใจ แล้วพยายามเอาชนะคู่แข่งให้ได้ในทุกเกมที่เหลือ
ตอนจบจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน
บอ.บู๋