คุณเคยได้ยินเรื่องอาถรรพ์ 7 ปี มีอันต้องเลิกรา หรือที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า 7 year itch กันหรือเปล่าครับ
คือหลังจากที่รักกัน ชอบกัน คบหากัน หรือตะบันชีวิตคู่ร่วมกันมาเป็นเวลาถึง 7 ปีเมื่อไหร่ มันมักจะเกิดอาการจืดจางจนนำมาซึ่งการแยกย้ายแบบทางใครก็ทางมัน โดยมีสถิติของคู่แต่งงานที่หย่าร้างกันสูงถึง 50% เลยทีเดียว
และด้วยโทษฐานที่ ลิเวอร์พูล และฤดูกาลนี้ออกตัวจากจุดสตาร์ทบนความกระท่อนกระแท่น ไม่ค่อยร้อนแรงและกะซวกไส้สักเท่าไหร่จึงมีการกล่าวถึงอาถรรพ์ปีที่ 7 แห่งการคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งมันเคยบังเกิดขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้ง
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า...
สมัยที่คุณพี่เขาเริ่มต้นอาชีพโค้ชลูกหนังกับ ไมนซ์ 05 ในศึก
บุนเดสลีกา 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2001
ซีซั่นแรกในฐานะกุนซือมือใหม่ที่รับงานกลางคัน มิสเตอร์เจเคในวัยหนุ่มใหญ่ช่วยให้ทีมประคองตัวจนจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 14 ของตาราง
ฤดูกาลต่อมา 2001-02 คือฤดูกาลแรกที่กุนซือระดับดารารุ่งผู้นี้คุมทีมเต็มตัวตั้งแต่เริ่มต้น
เจอร์เก้น คล็อปป์ กระชาก ไมนซ์ ขึ้นสูงถึงอันดับที่ 4 ของตาราง แม้ว่าจะยังเลื่อนชั้นขึ้นมาบนบุนเดสลีกา ไม่สำเร็จ แต่นำรูปแบบการเล่นอันน่าตื่นตาตื่นใจมาติดตั้งให้ลูกทีม
รูปแบบการเล่นที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า "เคาน์เตอร์ เพรสซิ่ง"
ฤดูกาล 2002-03 ไมนซ์ พุ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 4 อีกครั้ง อกหักอดเลื่อนชั้นขึ้นลีกสูงสุดของเยอรมันอย่างน่าเจ็บใจเป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน
หลังผิดหวังมา 2 ฤดูกาลติดต่อกัน
ในที่สุดความพยายามของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ประสบความสำเร็จในฤดูกาล 2003-04 เมื่อ ไมนซ์ ได้อันดับที่ 3 ของตารางพลางทะยานขึ้นมาบนบุนเดสลีกาได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
แม้ว่าจะเป็นเพียงทีมเล็กๆ ระดับหมู่บ้านที่ไม่มีเงินถุงเงินถัง แถมสังเวียนแข้งของพวกเขายังมีขนาดเล็กที่สุดในบุนเดสลีกาอีกต่างหาก ทว่าไม่เพียงแต่จะเอาตัวรอดได้ยังจบด้วยอันดับที่ 11 ของตารางในฤดูกาล 2004-05
ฤดูกาล 2005-06 ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จบด้วยอันดับที่ 11 อีกครั้ง
กระทั่งฤดูกาล 2006-07 ไมนซ์ ก็ "หมดอายุ" ในเวทีบุนเดสลีกา เมื่อโดนถีบตกชั้นกลับไปในบุนเดสลีกา 2 เหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม
กุนซือกะโปกเหล็ก เอ๊ย! หูเหล็กผู้นี้เลือกที่จะสู้อยู่กับทีมต่อไปในฤดูกาล 2007-08
เสียแต่ว่าผลงานกลับไม่ค่อยโสภาอย่างที่หวังเอาไว้
ต่อเมื่อเขาเอาทีมเก่าของตัวเองสมัยเป็นผู้เล่นกลับขึ้นมาบนบุนเดสลีกาไม่สำเร็จ
มันก็ถึงเวลาที่ต้องแยกทางกัน
จบฤดูกาล 'เจเค' ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งทันที รวมเวลาที่คุมทีมในช่วงแรกของการดำเนินอาชีพคือ 7 ปีกับอีก 4 เดือน
วันที่ 1 กรกฎาคม 2008
เจอร์เก้น คล็อปป์ เริ่มงานใหม่ในฐานะเทรนเนอร์ของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
และหลังจากนั้นคือการประกาศศักดาว่าข้าคือหนึ่งในกุนซือระดับอ๋องของโลกและดาวอังคารแบบเต็มตัว
เจอร์เก้น คล็อปป์ ใช้เวลาสร้างทีมไม่นานนักก็สามารถนำพลพรรคเสือเหลืองโค่นอำนาจขาใหญ่อย่าง บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา ในฤดูกาล 2010-11 ตามมาด้วยการป้องกันแชมป์ในฤดูกาล 2011-12 ที่คว้า เดเอฟเบ โพคาล ได้อีกด้วย
ก่อนจะทะยานถึงนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2013
ไม่เพียงแต่ผลงานของ ดอร์ทมุนด์ จะไฉไลเป็นบ้า คุณพี่เขายังปลุกเสกลูกทีมหลายคนให้โด่งดังในโลกลูกหนังอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, มาริโอ เกิตเซ่, มาร์โก รอยช์, มัตต์ ฮุมเมิ่ลส์, อิลคาย กุนโดกัน, ชินจิ คางาวะ และอื่นๆ อีกหลายหน่อ
หลังจากเข้าชิงฯ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2012-13
ผลงานของ "เสือเหลือง" ก็เข้าสู่ช่วงทรงๆ ทรุดๆ ขณะดาวดังที่สร้างมากับมือก็ถูกทีมระดับพญายักษ์ เฉพาะอย่างยิ่ง บาเยิร์น มิวนิค ดูดไปทีละคน 2 คน
ฤดูกาล 2013-14 ดอร์ทมุนด์ เข้าป้ายในตำแหน่งรองแชมป์ แต่ตามหลังแชมป์อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ถึง 19 แต้ม
แม้จะเริ่มต้นฤดูกาล 2014-15 ด้วยการคว้าแชมป์ ซูเปอร์คัพ ของเยอรมันได้สำเร็จก็จริง แต่ฟอร์มการเล่นและผลงานของ "เสือเหลือง" ก็เริ่มตกต่ำดำดิ่งลงไปในอเวจีปอยเป็ตสี่แสนล้านภพ สี่แสนล้านชาติ !!!
10 นัดแรกของฤดูกาล ลูกทีมของ "เจเค" เสียหลักพุ่งชนความปราชัยถึง 6 นัด จนร่วงหล่นลงไปอยู่ท้ายตาราง ก่อนจะกระเด็นตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ชะรอยว่าถึงจุดอิ่มตัว หลังคบหากันมานานจนถึงฤดูกาลที่ 7 อีกแล้วครับท่าน
เดือนเมษายน 2015 เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งแบบล่วงหน้า หลังจบฤดูกาลพลางยืนยันว่าไม่ได้รับการติดต่อจากสโมสรอื่น
"ผมคิดจริงๆ ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะสโมสรแห่งนี้สมควรได้โค้ชที่เหมาะสมกว่านี้ 100%"
ดอร์ทมุนด์ คลานเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 7 ของตาราง
เกมสุดท้ายในฐานะกุนซือของทีมเสือเหลืองคือนัดชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โพคาล ที่พลาดท่าพ่ายแพ้ โวล์ฟส์บวร์ก 3-1
อยู่ว่างๆ ล้างหูด้วยบทเพลงของ ไออ้อน เมเด้น ไปจนกระทั่งเดือนตุลาคม 2015 กุนซือหูเหล็กอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็เข้ารับงานอันสุดแสนท้าทายกับ ลิเวอร์พูล
ต่อไปคือผลงานของ ลิเวอร์พูล จากการทำงานของเขาในพรีเมียร์ลีก
ฤดูกาล 2015-16 อันดับ 8 (คุมทีมกลางคัน)
ฤดูกาล 2016-17 อันดับ 4
ฤดูกาล 2017-18 อันดับ 4
ฤดูกาล 2018-19 อันดับ 2
ฤดูกาล 2019-20 อันดับ 1
ฤดูกาล 2020-21 อันดับ 3
ฤดูกาล 2021-22 อันดับ 2
ระหว่างนั้นสมารถนำพลพรรคพวกพรี่ๆ เข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 3 สมัย โดยคว้าแชมป์มาหนึ่งครั้ง รวมถึงการคว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยอย่าง เอฟเอ คัพ กับ คาราบาว คัพ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
ฤดูกาลนี้คือฤดูกาลที่ 7 ในการคุมทีมเต็มตัว แต่ในทางตัวเลข ถือว่ากำลังจะครบ 7 ปีพอดิบพอดีในฤดูกาลนี้ที่ออกตัวแบบติดๆ ขัดๆ
นี่แหละ...ที่มาของการนำอาถรรพ์ 7 ปีในการคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มากล่าวถึง
แต่อย่างที่ผมเคยวิเคราะห์ให้อ่านกันไปแล้วว่า ลิเวอร์พูล ในเวอร์ชั่น "หงส์แดงผู้อหังการ" อันน่าขามเกรงที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์น่าจะผ่านพ้นจุดน้ำแตกของตัวเองไปเรียบร้อยจนถึงเวลาที่ต้องบูรณะทีมใหม่อีกครั้ง
พูดง่ายๆ ว่ามันเป็นช่วงถ่ายเลือดที่ต้องอาศัยเวลาสักระยะในการปรับตัวให้ผสมผสานและกลมกลืนกันระหว่างนักเตะเก่ากับนักเตะใหม่
ผลงานของ ลิเวอร์พูล จึงยังไม่ตูมตามสักเท่าไหร่
จากประวัติการทำงาน เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่เคยถูกตะเพิดออกจากตำแหน่งนะครับ ขอโทษ
ขณะการลาออกจากตำแหน่งกุนซือของ ไมนซ์ และ ดอร์ทมุนด์ มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างคือ...ในเมื่อทำดีกว่านี้ไม่ได้ก็ลาออกให้คนที่เหมาะสมกว่าเข้ามาทำแทนดีกว่า
ทีนี้สมมุติว่าถ้าผลงานของ ลิเวอร์พูล และฤดูกาลนี้ยังคงทรงๆ ทรุดๆ แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ถามว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะอยากลาออกจากตำแหน่งอีกไหม เพราะในอดีตที่ผ่านมา พบว่าเขาจะเริ่มหมดไฟปรารถนากับทีมเดิมในฤดูกาลที่ 7 ของการคุมทีม
เรียนตามตรงว่าผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
เพราะมันต่างกรรมต่างวาระ
ตอนโน้น & ตอนนั้น เจอร์เก้น คล็อปป์ อาจหมดอารมณ์ในการคุมทีมจริง
แต่ ณ ตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเดิมก็ได้นี่หว่า
เมื่อวิเคราะห์ถึงผลงานของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ แล้วนำไปเทียบกับฤดูกาลสุดท้ายที่คุม ดอร์ทมุนด์ ยังถือว่าดีกว่ากันเยอะเลย และด้วยศักยพลานุภาพของหงส์แดงชุดปัจจุบัน มันก็คงไม่ย่ำแย่ขนาดหล่นลงไปท้ายตารางแน่ๆ
หรือต่อให้หลุดท็อปโฟร์เมื่อจบฤดูกาล หรือไม่ได้แชมป์อะไรเลย (อันนี้สมมุตินะครับพรี่ๆ ครับ) ผมก็มั่นใจแบบเต็มประดาว่าบอร์ดบริหารจะไม่มีทางปลด เจอร์เก้น คล็อปป์ ออกจากตำแหน่งแน่ๆ
ด้วยวัฒนธรรมของทีมที่แตกต่างกัน กรุณาอย่านำไปเทียบกับ เชลซี ที่ขับไล่ โธมัส ทูเคิ่ล ออกอย่างโหดร้ายแบบไม่คำนึงถึงความดีความชอบเก่าๆ
เหนือสิ่งอื่นใดขืนเบื้องบนหงส์แดงสุ่มสี่สุ่มห้าปลด เจอร์เก้น คล็อปป์ ออกจากตำแหน่ง
รับรองได้เลยครับว่า "บ้านบึ้มส์" เพราะนี่คือผู้จัดการทีมอันเป็นที่รักปานแหก Rule Darkz มาดอมดมของพวกพรี่ๆ เขา
เช่นเดียวกับปวง เดอะ ค็อป โดยส่วนใหญ่ - คงไม่มีใครกล้าขับไล่กุนซือผู้นี้ที่เสกให้ 'หงส์แดง' ธรรมดาๆ กลายเป็น 'พญาหงส์' ผู้อหังการ
นอกจากนี้ในความกระท่อนกระแท่นของช่วงต้นฤดูกาล
อย่างน้อย ลิเวอร์พูล ยังมีเวลาหยุดพัก เพื่อตั้งหลักใหม่ เหมือนได้เสียงระฆังมาช่วย
แล้วอย่าลืมนะครับว่าฤดูกาลนี้มีความแตกต่างจากฤดูกาลอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ลูกหนัง เพราะจะมีช่วงหยุดเว้นวรรคเป็นเวลากว่า 1 เดือนให้ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ กาต้าร์
หมายความว่า ลิเวอร์พูล จะมีเวลาทบทวนจุดบกพร่องของตัวเองพลางปรับปรุงและแก้ไขอีกช่วงใหญ่ๆ เลยทีเดียว
ยกเว้นเสียแต่ว่า เจอร์เก้น คล้อปป์ จะเกิดอาการอิ่มตัวขึ้นมาอีกครั้งนั่นแหละ
ฉะนั้น & ฉะนี้
หน่วยเหนือแห่ง แอนฟิลด์ จึงมีหน้าที่ทำให้กุนซือระดับอ๋องของตัวเองเกิดไฟปรารถนาในการทำงาน ด้วยการแสดงความทะเยอทะยานออกมาบ้าง
ไม่ใช่นั่งนับแบ๊งแล้วเก็บเงินเข้ากระเป๋าพลางปล่อยให้ผู้จัดการทีมใช้ฝีมือในการแก้ปัญหาอยู่คนเดียว
ขืนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
หาก เจอร์เก้น คล็อปป์ เกิดความรู้สึก "กูเบื่อ" ขึ้นมา อันก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ
"บอ.บู๋"