โจทย์ที่ท้าทายสำหรับลิเวอร์พูล

โจทย์ที่ท้าทายสำหรับลิเวอร์พูล
ถ้าไม่ได้ชัยชนะ ลิเวอร์พูลคงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง..

ความประมาทหรือหย่อนสมาธิเพียงเล็กน้อยอาจกลายเป็นสิ่งที่คุณต้องเสียใจในภายหลัง ฟุตบอลเป็นอย่างนี้เสมอมา และมันก็น่าแปลกที่เรื่องอย่างนี้ยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ

เกมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่แอนฟิลด์ก็เช่นกัน ความรู้สึกหลังผ่าน 15 นาทีแรกนั้นอย่างหนึ่ง ความรู้สึกเมื่อจบเกมนั้นอีกอย่างหนึ่ง

สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลอาจจะอธิบายไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร มันเป็นความผสมปนเป โล่งใจเป็นอย่างแรก หงุดหงิดอาจจะเป็นอย่างที่สอง ความขัดเคืองคงจะโผล่ปนแทรกอยู่กับความดีใจ

บอกไม่ถูก ดีใจก็ดีใจ โมโหก็โมโห ทำไมต้องทำตัวเองให้ลำบากขนาดนี้

การต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้ของสเปอร์สนั้นคือสิ่งที่น่าชื่นชม นักเตะไก่เดือยทองสามารถฉกฉวยโอกาสที่ลิเวอร์พูลเปิดให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จาก 0-3 เป็น 3-3 ถ้าถอดใจไปแต่แรกคุณไม่มีทางกลับมาได้หรอกต่อให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญก็ตาม

กระนั้นในภาพรวมผมคิดว่าจุดสนใจพุ่งไปอยู่กับลิเวอร์พูลมากกว่า ย้อนกลับไปแค่สัปดาห์ที่แล้ว นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ทำให้เห็นว่าโมเมนตัมทองคำนั้นวิเศษเพียงใด ถ้ามันเข้ามาหาคุณและคุณไม่รีรอที่จะคว้ามันไว้ คุณจะได้ผลลัพธ์ที่งดงามที่สุด

ในภาพเดียวกับที่เกิดขึ้นที่แอนฟิลด์ไม่มีผิด นิวคาสเซิ่ลนำสเปอร์สขาดลอย 3-0 ตั้งแต่ไก่โห่ ยิงเป็นเข้าจนกระทั่งกองเชียร์ของตัวเองยังตกตะลึง แต่ความแตกต่างคือทีมสาลิกาดงเดินหน้าขยี้ต่ออย่างไม่ปราณี และเมื่อเวลาผ่านไปถึงนาทีที่ 21 สกอร์บอร์ดที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค ก็รายงานว่ามันขยับไปเป็น 5-0

ไกลเกินกว่าที่จะเกิดเรื่องเหลือเชื่อใดๆ ขึ้นได้แล้ว

ฟุตบอลก็เหมือนกีฬาประเภทอื่น มันเปิดโอกาสให้ทุกคนที่ลงเวทีเสมอ กระทั่งเกมที่ห่างกันที่สุดแจ๊กยังสามารถโค่นยักษ์ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อโอกาสทองเข้ามาอยู่ในมือ คุณต้องคว้ามันเอาไว้

ผมเชื่อว่ากระทั่งแฟนบอลสเปอร์สเองบางคนก็คงกังวลไปถึงฝันร้ายที่น่าสยดสยอง มันอาจจะไปไกลกว่าความเละเทะเมื่อสัปดาห์ก่อนด้วยซ้ำ การไปเตะที่แอนฟิลด์แล้วโดนเจ้าถิ่นถลุง 3 ประตูในเวลาแค่ 15 นาทีแรกไม่ผิดอะไรไปจากการเตรียมโดนฆาตกรรมหมู่

เดอะค็อปมากมายก็คงวาดฝันไปถึงผลการแข่งขันที่สวยหรูเกินกว่าจะจินตนาการถึงเช่นกัน สกอร์สุดท้ายจะเป็นเท่าไหร่ไม่รู้แต่มีโอกาสขึ้นไปอยู่เคียงข้างความภูมิใจตลอดกาลที่ถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0 และบอมบ์ บอร์นมัธ ไม่มีชิ้นดี 9-0

เพราะเกมรับของสเปอร์สย่ำแย่จริงๆ เจาะเข้าไปตรงๆ ก็หลุดทุกที การครอบครองบอลก็เป็นของลิเวอร์พูลเบ็ดเสร็จ แดนกลางกลายเป็นทำงานง่ายทั้ง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ เคอร์ติส โจนส์ ไม่ได้ถูกทดสอบอะไรหนักหน่วงเลย

บอลยัดเข้าช่องของลิเวอร์พูลอันตรายและได้ลุ้นตลอด ทักษะของ โกดี้ คักโป เริ่มมีบทบาทขึ้นเรื่อยๆ ฟอลส์ไนน์ของเขาเป็นธรรมชาติไม่ขัดเขินในแต่ละเกมที่ผ่านไป บังบอลได้ พลิกบอลได้ ป้ายบอลต่อให้เพื่อนได้ ทั้งยังลงมาล้วงบอลพาขึ้นไปเองได้ เลี้ยงกินตัวคู่แข่งเปิดช่องให้ทีมได้ ให้บอลฉลาด ยิงประตูได้ดี

เขาจะเป็นกำลังหลักของทีมแน่นอนทั้งในเกมที่เหลืออยู่ฤดูกาลนี้และอนาคตข้างหน้า

การตั้งเกมไม่ได้เลยของสเปอร์สยิ่งทำให้เกมดูห่าง การเล่นสะเปะสะปะ ต่อบอลไม่ได้ การเคลื่อนที่ดูสับสนไปหมด เหมือนนักวิ่งที่ยังไม่ทันได้เตรียมตัวพร้อมเลยเสียงปืนออกตัวก็ดังขึ้นเสียก่อน รู้ตัวอีกทีเพื่อนก็ทิ้งไปไกลหลายเมตรแล้ว

แต่.. ปัญหาคือหลังจากนั้นนั่นแหละ เพราะอะไรลิเวอร์พูลที่รัว 3 ประตูใน 15 นาทีถึงได้หยุดยิงไปเฉยๆ

เหตุผลแรกนั้นสเปอร์สควบคุมสติไม่ให้เตลิดไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ จัดระเบียบเกมป้องกันดีขึ้น มีวินัยขึ้น เผลอจนหลุดตำแหน่งน้อยลง ค่อยๆ กลับเข้ามาสู่เกมแพลนของตัวเองคือรับแล้วโต้ให้เกมรุกที่รวดเร็วเล่นงานแนวรับที่ดันขึ้นสูงของเจ้าถิ่น

มันประกอบกับเหตุผลทางฝั่งลิเวอร์พูลเองด้วย ผมคิดว่านักเตะหงส์แดงคลายความเข้มข้นของเกมลงไปเล็กน้อย ไม่ได้โหมลุยใส่แบบฉลามได้กลิ่นคาวเลือดแต่เล่นไปตามจังหวะของเกม ก็สถานการณ์ในตอนนั้นควบคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จ สามประตูที่ได้มาก็ได้จากความแม่นยำแบบเป๊ะๆ เทรนต์วางให้โจนส์ยิงลูกแรก ซาลาห์ไหลเข้าช่องให้คักโปหลุดไปตบคืนให้ดิอาซตวัดยิง และการเรียกจุดโทษของคักโป

ถ้าจะมีประตูที่สี่เกิดขึ้น มันก็คงเป็นฝั่งลิเวอร์พูลมากกว่าถ้าว่ากันตามภาพที่เห็น ณ ตอนนั้น

ถามว่าลิเวอร์พูลประมาทไหมก็คงไม่ถึงขนาดนั้น พวกเขาแค่เลือกควบคุมสถานการณ์ไม่เร่งเอาประตูที่สี่แม้โมเมนตัมของเกมจะน่าใส่เกียร์ลุยแหลกเหลือเกินก็ตาม โอกาสได้ประตูที่สี่ก็มีแค่มันไม่มา และการเลือกแบบนั้นส่งผลให้สเปอร์สค่อยๆ กลับมาเล่นในเกมโต้ของตัวเองได้หลังผ่านครึ่งชั่วโมงของเกมโดยไม่เสียประตูเพิ่ม

เกมนี้ฉีกให้เห็นปัญหาด้านเกมป้องกันของลิเวอร์พูลอีกครั้ง การเก็บคลีนชีตกลายเป็นเรื่องยากเย็น จังหวะเข้าพรวดจนหลายหลังของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ คือภาพสะท้อนเกมรับของทีมในฤดูกาลนี้ มันคือความลนลานและสมาธิที่ไม่ร้อยเปอร์เซนต์ ก็กระทั่งคนที่เคยนิ่งที่สุดและเราแทบไม่เคยเห็นการพุ่งหาบอลพรวดพราดทั้งตัวจนเสี่ยงถูกล็อกหลบหลังหักอย่างนั้นเลยก็ได้เห็นจากเขา

จาก 3-0 เมื่อไม่ใช่ 4-0 แต่กลายเป็น 3-1 ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น

ถ้าเราเป็นสเปอร์ส ความวิตกว่าจะพบกับความพินาศอย่างเกมนิวคาสเซิ่ลจะมลายหายไปและถูกแทนที่ด้วยเลือดนักสู้ที่ไล่ตีเสมอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 หลังถูกนำสองประตูในเกมล่าสุดแทน มันกลายเป็นกำลังใจให้พวกเขา

ขณะที่ลิเวอร์พูลคงไม่มีอะไรมากไปกว่าเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองอีกครั้ง ต้องต่อสู้กับอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้น เกมที่นำ 3-0 หลังเตะไป 15 นาทีแรกและควบคุมทุกอย่างอยู่ในมือกลายเป็น 3-1 ตอนพักครึ่งได้อย่างไร มันควรจะเป็น 4-0 หรือ 5-0 ไม่ใช่หรือ

แล้วในครึ่งหลังความกังวลของเดอะค็อปก็กลายเป็นจริง ประตู 3-2 เกิดขึ้นจนได้เมื่อ ซน ฮึง-มิน หลุดเดี่ยวจากบอลวางยาวแดนตัวเองทั้งๆ ที่มีสัญญาณเกิดขึ้นหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่การลงสนามตามมาของ ริชาร์ลิซอน ก็เป็นการเปลี่ยนตัวที่เหมาะสมมากของ ไรอัน เมสัน ลิเวอร์พูลกำลังปั่นป่วนอย่างนี้ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าส่งตัวที่พร้อมป่วนที่สุดในวงการลงไปเล่นงาน

จะบอกว่าลิเวอร์พูลโชคดีที่ได้สามคะแนนก็คงไม่ผิด เกมควรจะจบที่สกอร์ 3-3 จากลูกโหม่งตีเสมอช่วงทดเวลาของริชาร์ลิซอนไปแล้ว ลูกัส มูร่า คงนอนไม่หลับไปอีกหลายคืนจากความผิดพลาดลูกนั้น

ลิเวอร์พูลชนะ 4-3 แบบบีบหัวใจ แต่ไม่ค่อยน่าประทับใจนัก มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นอย่างนี้ ความไม่เด็ดขาดฆ่าคู่ต่อสู้ไม่ตายคือปัญหาที่ลิเวอร์พูลยังแก้ไม่ตก มันยิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจนถ้าเปรียบเทียบกับสองฤดูกาลลุ้นแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และซีซั่นที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกซึ่งลิเวอร์พูลเหี้ยมเกรียมในการลงโทษคู่แข่งมากกว่านี้

สกอร์สวยๆ อย่าง 7-0 หรือ 9-0 จึงเกิดขึ้นในวันที่ทุกอย่างลงล็อกทำอะไรก็เป็นดีไปหมด แต่หลายเกมที่ไม่มีภาพแบบนั้น บางเกมแฟนบอลนั่งดูโดยไม่มีความมั่นใจเลยว่าทีมจะชนะได้อย่างที่เคยรู้สึกในซีซั่นลุ้นแชมป์

สิ่งที่หายไปคือความรู้สึกนี้ล่ะครับ ความรู้สึกที่เชื่อมั่นว่าสุดท้ายแล้วเราก็จะบดจนคว้าชัยได้ในที่สุด กระทั่งตามหลังอยู่ในนาทีที่ 80 ก็ยังมีความหวังเพราะทีมปูพรมบุกไม่หยุด

รอบแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่น่าจะมาถึงจริงๆ ในช่วงซัมเมอร์นี้ แฟนบอลคงต้องลุ้นให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานของเขาได้จิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์แบบในระดับที่เคยได้ ฟาน ไดค์ อลีสซง ซาลาห์ ฟาบินโญ่ มาเสียบจนทีมพุ่งทะยาน

แต่การเลือกนักเตะสักคนได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์แบบเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ หลายครั้งวิเคราะห์ละเอียดเป็นอย่างดีแล้วแต่พอซื้อมาร่วมทีมจริงๆ นักเตะล้มเหลวก็มี ขณะที่บางคนได้ตัวมาแบบไม่มีความหวังมากแต่กลับเปรี้ยงปร้างกลายเป็นขวัญใจก็เยอะ

เราคงทำได้เพียงเอาใจช่วยและเชื่อมั่นในทีมงานสรรหานักเตะของสโมสร แต่นั่นคือเรื่องที่รอเราอยู่ช่วงปิดฤดูกาล ส่วนตอนนี้ว่ากันเกมต่อเกมใน 5 นัดสุดท้ายที่เหลืออยู่ หวังว่าจะเอาชนะได้ทั้งหมดกลายเป็นรันยาวชนะ 9 เกมสุดท้ายของซีซั่นเพราะตอนนี้ลิเวอร์พูลชนะมาแล้ว 4 เกมรวด

ชนะ 9 นัดติด.. มันก็เป็นโจทย์ที่ท้าทายไม่เบาโดยเฉพาะสำหรับลิเวอร์พูลในสภาพที่เป็นฤดูกาลนี้

ถ้าทำได้และตีตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ ลีกก็ถือเป็นโบนัส หากทำได้แต่ไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ไม่ต้องเสียดาย ทีมพลาดเยอะเกินไปจนโอกาสหลุดมือไปเอง และต้องชื่นชมความสม่ำเสมอของทีมที่คว้าสิทธิ์นั้นไปได้

ยังมีเรื่องอีกมากมายรอให้ลิเวอร์พูลแก้ตัวและทำมันให้ดีขึ้น การสั่งลาฤดูกาลนี้ด้วยการพิชิตความท้าทายชนะ 9 นัดติดได้สำเร็จคงจะเป็นการส่งไม้ต่อที่ยอดเยี่ยมไม่เบาทีเดียวนะครับสำหรับการปฏิบัติภารกิจนั้น..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport