เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก ว่า ลิเวอร์พูล จะมีการยกเครื่องแผงมิดฟิลด์ใหม่ในช่วงซัมเมอร์นี้
ด้วยผู้เล่นหลายคนที่อายุมากขึ้น, บาดเจ็บง่าย หรือกำลังจะหมดสัญญา คือเหตุผลหลักที่ทำให้กำลังจะเกิดสิ่งนั้น
รายชื่อผู้เล่นชุดที่ทำศึกกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ "เดอะ ค็อป" น่าจะมีความคิดสามอย่างนี้โผล่เข้ามาในหัว
คือหนึ่ง เซอร์ไพรส์เล็กน้อยที่ หลุยส์ ดิอาซ ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครั้งแรกนับตั้งแต่บาดเจ็บตรงหัวเข่าเมื่อเดือนตุลาคม
สองคือการใช้สองผู้เล่นยังบลัดอย่าง เคอร์ติส โจนส์ กับ ฮาวี่ย์ เอลเลียตต์ ลงเล่นพร้อมกัน
และสาม สถานการณ์ที่เริ่มชัดขึ้นต่ออนาคตของ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่หลายคนตั้งคำถามว่า "จะเอายังไงต่อไปดี?"
กองกลางเชิงสูงชาวสแปนิช เพิ่งหายเจ็บกลับมาเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน หลังพักรักษาตัวไปราว 2 เดือน และได้เคาะสนิมไปแล้ว 4 นัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันศุกร์ เขาไม่ได้ลงซ้อมกับทีมจนกระทั่งไร้ชื่อในแมตช์เดย์ล่าสุด และมีภาพเขาเดินกะโผลกกะเผลกที่ แอนฟิลด์
ตอนออกสตาร์ทฤดูกาล กองกลางชุดที่แข็งแกร่งที่สุดของ "หงส์แดง" ควรจะมีหน้าตาเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน-ฟาบินโญ่-ติอาโก้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การมีพวกเขาทั้งสามคนลงเล่นพร้อมกัน ไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีต่อทีมนัก โดยเฉพาะเรื่องของอายุที่ 2 รายอย่าง เฮนโด้ กับ ติอาโก้ ต่างเข้าสู่หลัก 3 ส่วน แฟ้บ อาจยังไม่ถึง แต่ผลงานไม่ดีเหมือนเดิม
เรื่องของอายุ ไม่ใช่ปัจจัยหลักหรอกครับที่เป็นตัวตัดสิน หากแต่ผลงานที่ออกมาต่างหากที่บ่งบอกว่า กลางชุดนี้ไม่ใช่ตัวหลักของทีมต่อไปแล้ว
การต้องปรับปรุงแผงมิดฟิลด์ใหม่ทั้งหมดตอนช่วงซัมเมอร์ เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรก แม้ว่าในช่วงหลังมีการพัฒนาขึ้นจากผลงานไม่แพ้ใคร 6 เกมก็ตาม
การหายหน้าไปอีกครั้งของ ติอาโก้ เกิดข้อสงสัยจากแฟนบอลที่ทำใจแล้วว่า เราไม่สามารถคาดหวังอะไรจากตัวเขาได้อีกแล้ว เพราะสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยเลย
ติอาโก้ ลงเล่นฤดูกาลนี้ไป 28 นัดทุกรายการ ซึ่ง 22 นัดคือการลงเล่นเป็นตัวจริง ขณะเดียวกัน เกมพรีเมียร์ลีก เขาลงเล่นตัวจริง 14 จาก 18 นัด และด้วยเกมที่เหลืออีกแค่ 5 นัด ก็ประกันได้ว่านี่คือปีที่ ติอาโก้ จะได้ลงสนามเกมลีกน้อยที่สุดนับตั้งแต่ย้ายจาก บาเยิร์น มิวนิค เมื่อซัมเมอร์ปี 2020 (2020/21 เล่น 24 นัด, 2021/22 เล่น 25 นัด)
ก่อนย้ายสีเสื้อเป็น "แดงเพลิง" สมุดบันทึกสภาพร่างกายของ ติอาโก้ ก็มีอาการบาดเจ็บถูกจดอยู่ในนั้น
แต่ ลิเวอร์พูล ยอมรับในเรื่องนี้ เพราะเชื่อว่าคุ้มค่าแน่ หากเขากลับมามีความฟิตสมบูรณ์
เรื่องจริงกลับตรงกันข้าม ยิ่งเวลาผ่านไป จำนวนการเล่นของเขาลดลงเรื่อย ๆ
ซีซั่นนี้ ติอาโก้ พลาดการลงเล่น 18 นัดเพราะเรื่องอาการเจ็บ และถ้าย้อนไปปีก่อน ตัวเลข 22 นัดคือพลาดลงเล่นจากเรื่องเดียวกัน ซึ่งเกมชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เขาต้องฉีดยาแก้ปวดเพื่อให้ตัวเองผ่านความฟิต
ส่วนปีแรกที่เข้ามา 20 นัดคือตัวเลขรวมที่หายไปจากอาการเจ็บและป่วย(โควิด)
ซึ่งถึงตอนนี้ ทุกคนไม่ได้คาดหวังเรื่องการที่เขาจะกลับมามีสภาพร่างกายพร้อมลงเล่นอีกแล้ว การที่ไม่มีชื่อ ติอาโก้ ลงเล่น ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อีกต่อไป
สัญญาของเขากำลังนับถอยหลังเหลืออีก 12 เดือน จึงทำให้เกิดคำถามว่า บทบาทของ ติอาโก้ กับทีม จะเป็นไปในทิศทางใด?
การเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ใช้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มามีบทบาทตรงแดนกลางเป็น "Inverted full-back" เล่นเป็นเหมือนมีผู้เล่นหมาย 6 เล่นพร้อมกัน 2 ราย
มันส่งผลให้บทบาทของ ติอาโก้ ลดลงไปโดยปริยาย
การหายไปบ่อยครั้งทำให้เขาอยู่ในสถานะเข้าข่ายเป็น "นักเตะฟุ่มเฟือย" หรือพูดอีกแบบคือเป็นสตาร์ที่ทีมไม่สามารถพึ่งพาได้ แต่หากลงเล่นได้นั้นก็ถือว่าเขาเป็นกำลังหลักที่ดี
คำถามคือ การที่ ติอาโก้ ลงเล่น 30 นัด มันมีค่ามากพอที่จะทดแทน 20 เกมที่เขาหายไปได้รึเปล่า?
เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก และเป็นคำถามที่ผู้จัดการทีมคนไหนก็ไม่อยากเจอกับตัวเอง
ไม่ว่าคุณจะคิดแบบไหน การยกเครื่องแผงกองกลางของ ลิเวอร์พูล ในช่วงซัมเมอร์นี้จะเป็นการสร้างห้องเครื่องระยะยาวที่จะช่วยทีมได้ยืนยาวกว่าช่วงเวลาที่ ติอาโก้ อยู่กับทีมแน่นอน
รอดูว่าเขาจะเป็นนักเตะชื่อดังอีกคนที่จะย้ายออกจาก ลิเวอร์พูล แบบฟรี ๆ ในตอนที่สัญญาหมดลง หรือจะได้รับการต่อสัญญา โดยมีข่าวลือว่าเขาอาจจะกลับ บาร์เซโลน่า ในช่วงซัมเมอร์นี้ด้วย
ขณะเดียวกัน ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวกับมิดฟิลด์มากมาย อย่างล่าสุดมีชื่อ มานูเอล อูการ์เต้ กลางเชิงรับของ สปอร์ติง ลิสบอน ขณะที่ เมสัน เมาท์ ก็ยังเป็นเป้าหมายหลักชัดเจน หลังจากที่สโมสรถอนสมอในรายของ จู๊ด เบลลิงแฮม ไป
จากการผ่าตัดที่ว่า จริง ๆ อนาคตในแผงกลางของ ลิเวอร์พูล ยังไม่ถือว่าเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่
แต่เท่าที่ผ่านมา คล็อปป์ ก็ใช้ช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลให้เป็นประโยชน์สำหรับการวางแผนสู้ศึกในฤดูกาลหน้าแล้ว
"สิ่งสำคัญคือการปรับแต่งทีม นั่นเป็นสิ่งที่เรายังพยายามทำกันอยู่ในตอนนี้" คล็อปป์พูดแบบนั้นก่อนเกมกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อเดือนก่อน
"เราไม่รู้ว่าฤดูกาลนี้จะจบลงแบบไหน แต่หลังจากจบซีซั่นนี้ไปแล้ว มันก็มีฤดูกาลใหม่รอเราอยู่"
"ผมเองก็คิดถึงเรื่องนั้นแล้วเช่นกัน เราต้องสานต่อสิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ รวมถึงสานต่อสิ่งที่เราเรียนรู้จากในตอนนี้ให้ได้"
"เราได้เรียนรู้เรื่องที่เราไม่อยากรู้ บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้สิ่งที่เราจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในภายภาคหน้าก็ได้ นั่นคือมุมมองของผม"
การได้ลงเล่นร่วมกันระหว่าง โจนส์ กับ เอลเลียตต์ เป็นเหมือนสัญญาณอีกขั้น หลังจากเราได้เห็น สเตฟาน บายเซติช ทำผลงานได้น่าประทับใจก่อนที่จะเจออาการบาดเจ็บเล่นงาน
คล็อปป์ เคยพูดถึงเด็กสองคนนี้เมื่อคราที่ทั้งคู่ลงเล่นพร้อมกันหนแรกในเกมเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
"เรามีทั้ง ฮาร์วี่ย์ กับ เคอร์ติส หลังจากเกมก่อน(เซาธ์แฮมป์ตัน) ผมเรียกพวกเขามาทั้งคู่ และบอกไปว่า -นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น- แล้วพวกเขาก็มีท่าทีประมาณว่า -ใช่ ด้วยการที่เราทั้งคู่อยู่ในสนาม- มันเป็นเรื่องที่ดีเลย""
"คุณได้เห็นพวกเขาในตอนซ้อม และพวกเขาก็ทำได้ดี เพราะนั่นคือโอกาส.. ดังนั้นการมีเด็ก ๆ เหล่านี้เพื่อการเปลี่ยนแปลงมันจึงเป็นเรื่องสำคัญ"
ชัยชนะเหนือ "คลับไก่" นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ โจนส์ กับ เอลเลียตต์ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงพร้อมกัน
นัดแรก ชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน นัดสอง แพ้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อเดือนตุลาคม ที่ คล็อปป์ วางระบบ 4-4-2 ให้ เอลเลียตต์ ยืนด้านข้าง แล้ว โจนส์ จับคู่กับ ติอาโก้ ตรงแดนกลาง
สำหรับคู่นี้ เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น และเกมล่าสุดก็พอให้ผ่าน โจนส์ ทำประตูแรก ส่วน เอลเลียตต์ มีส่วนร่วมในลูกที่สองและสาม
ความแม่นยำเรื่องการผ่านบอล โจนส์ จ่ายเข้าเป้า 59 จาก 64 คิดเป็น 92% ขณะที่ เอลเลียตต์ 35 จาก 39 ครั้งคิดเป็น 90%
ถึงกระนั้น เรื่องการเข้าปะทะ ทั้งคู่ต่างทำได้แค่คนละครั้งเท่านั้น ก่อนที่โมเมนตัมเกมจะกลับไปเป็นของทีมเยือน ตอนที่สกอร์นำขาด 3-0
ผลที่ตามมาหลังจากทีมเริ่มครองบอลไม่ได้ คือ คล็อปป์ หันไปใช้ประสบการณ์ของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ลงมาแทน เอลเลียตต์ และ มิลเนอร์ ลงแทน โจนส์ ในนาที 86
จนกระทั่งเกิดโมเมนต์พลิกผันที่ สเปอร์ส ตามตีเสมอ 3-3 ก่อนที่ ดีโอโก้ โชต้า มาเป็นฮีโร่ยิงประตูชัย
แน่นอนว่าเด็กสองคนนี้ยังต้องเรียนรู้อีกมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลือกสำรองของรุ่นพี่อีกต่อไป
การที่ ลิเวอร์พูล กำลังอยู่ในช่วงผลัดใบ ทั้ง เอลเลียตต์ กับ โจนส์ สมควรได้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญเจนต่อไป
นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับทั้งคู่ โจนส์ เพิ่งขึ้นพบตัวเองในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเจอมรสุมอาการบาดเจ็บรุมเร้าจนหลุดจากทีมไปช่วงหนึ่ง เอลเลียตต์ ลงเล่นไป 42 เกม ถือเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในอาชีพ
พวกเขาไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำตอบระยะสั้น ๆ แต่พวกเขาเป็นแผนการสำหรับอนาคตของทีมในระยะยาว
เอลเลียตต์-โจนส์ เป็นผู้เล่นที่ คล็อปป์ สามารถใส่ชื่อไว้เพื่อ "หงส์แดง" ยุคใหม่ได้แบบไม่เคอะเขิน
ขณะที่ รุ่นพี่คนอื่น ๆ ต่างค่อย ๆ นับวันเวลาลาจาก แต่สำหรับเด็กสองคนนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
HOSSALONSO
- เรียบเรียงจาก LIVERPOOLECHO