ลิเวอร์พูล กลับมาระเบิดความร้อนแรงเก็บแต้มได้อย่างเป็นกอบเป็นกำแล้วในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่นโดยล่าสุดเมื่อวันพุธที่ 26 เม.ย. พวกเขาบุกไปพิชิต เวสต์แฮม ได้ 2-1 ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่สนาม ลอนดอน สเตเดี้ยม แม้จะเป็นฝ่ายโดนสอยตาข่ายก่อนก็ตาม
ถึงขณะนี้ เร้ด แมชีน จึงเพิ่มโอกาสลุ้นคว้าพื้นที่ฟุตบอล แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อย่างชัดเจนมากขึ้นทุกทีแล้ว และเชื่อได้เลยว่าไม่มีใครกล้ากาชื่อทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ทิ้งอย่างแน่นอนเพราะหากพวกเขาเล่นได้อย่างเข้าฝักก็ยากที่จะมีทีมไหนหักปีก หงส์แดง ได้ง่ายๆ
1. ขุนค้อน ฟอร์มดีส่งชุดเดิมลงสนาม
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด วางใจใช้บริการ 11 ขุนพลชุดเดิมจากเกมบุกไปยำใหญ่ บอร์นมัธ 4-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาต้อนรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล
ถึงขณะนี้ ทีมของ เดวิด มอยส์ เริ่มมีผลงานกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยพวกเขาไม่แพ้เลยในห้านัดหลังของทุกรายการ และชนะทั้งสองนัดหลังด้วยโดยสามารถซัดประตูได้รวมแปดเม็ด และเสียไปแค่เม็ดเดียวเท่านั้น
2. หงส์ ขาด โกนาเต้ เดี้ยงปรับแค่แนวรับ
ลิเวอร์พูล มีอันต้องเปลี่ยนทีมหนึ่งตำแหน่งโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หลังจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พวกเขาเปิดบ้านเอาชนะ ฟอเรสต์ ได้ด้วยสกอร์ 3-2
จากที่หวั่นกันว่า อิบราฮิม่า โกนาเต้ ไม่น่าจะลงเล่นได้เนื่องจากบาดเจ็บ ปรากฏว่าดาวเตะผิวสีไม่มีส่วนร่วมในเกมนัดนี้ และทำให้ โฌแอล มาติป ได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง
ฉะนั้นแล้ว ดาวเตะ แคเมอรูน จึงกลับมาเป็นคู่ขาตัวจริงของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ หนแรกนับตั้งแต่เกมเสมอกับ เชลซี 0-0 เมื่อวันที่ 4 เม.ย. โดยถึงขณะนี้ เร้ด แมชีน ไม่แพ้ใครในลีกสี่เกมหลังซึ่งพวกเขากำชัยได้ในสองนัดที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน การปราศจาก โกนาเต้ ชี้ให้เห็นซีซั่นนี้ว่า ลิเวอร์พูล มีปัญหาในแผงหลังจริงเนื่องจากแต่ละรายผลัดกันล้มเจ็บโดยในรายของดาวเตะเลือดน้ำหอม เขาได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงแค่ 18 จาก 45 นัดน้อยกว่า ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ด้วยซ้ำ
3. เทรนต์ สร้างชื่อต่อเนื่อง
แม้เจ้าบ้านจะออกนำก่อนในนาทีที่ 12 จากลูกยิงของ ลูกัส ปาเกต้า แต่ให้หลังแค่หกนาที โคดี้ กัคโป ก็ทวงคืนให้ทีมเยือนได้จากการผ่านบอลของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์
จากผลงานการแอสซิสต์ของแบ็คขวา ลิเวอร์พูล ซึ่งหลายเกมหลังถูกปรับบทบาทให้ขยับมาเล่นเป็นฟูลแบ็คตัวในเพื่อหนุนเกมรุกอย่างเต็มรูปแบบทำให้เขาสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้มากขึ้นตามไปด้วย
ถึงขณะนี้ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ จัดแอสซิสต์ไปแล้ว 5 ประตูจากการลงเล่นสี่เกมหลังของ พรีเมียร์ลีก มากกว่าที่เขาทำได้หนึ่งแอสซิสต์จาก 40 นัดก่อนหน้านี้ในรายการเดียวกันอันเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแล้วที่ดันฟูลแบ็คจอมบุกซึ่งมีจุดอ่อนในการเล่นเกมรับขยับขึ้นสูงมาช่วยเกมรุกให้มากขึ้น
สำหรับ เวสต์แฮม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เดวิด มอยส์ เน้นวางหมากให้ทีมเน้นตั้งรับด้วยการตั้งโซนหน้าปากประตูรอหาโอกาสโต้กลับ และหลังจบครึ่งแรกจึงเป็นธรรมดาที่ ลิเวอร์พูล จะได้ครองบอลแทบข้างเดียว 75:25% และได้ยิงมากถึง 11 ครั้งโดยเป็นการส่งบอลเข้ากรอบ 2 ครั้ง ขณะที่ เดอะ แฮมเมอร์ส ได้เข่น 4 ครั้ง และเข้ากรอบ 1 ครั้ง
4. มาติป ฮีโร่ตัวจริง
แม้ช่วงหลังจะหลุดไปนั่งข้างสนามโดยถูก โกนาเต้ แย่งตำแหน่งไปได้ แต่ในที่สุด มาติป ก็ไม่ทำให้แฟนบอล ลิเวอร์พูล ผิดหวังเมื่อโขกลูกเตะมุมตุงตาข่ายเป็นประตูชัยพาทีมบุกมาสยบ เวสต์แฮม 2-1 ในนาทีที่ 67
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้ต้นครึ่งหลัง เจ้าบ้านจะเดินเกมรุกได้น่ากลัว แถม จาร์รอด โบเว่น ซัดประตูได้ด้วย แต่ถูกวีเออาร์ริบซะก่อนเนื่องจากเป็นลูกล้ำหน้า ลิเวอร์พูล จึงรอดตัวไป และตั้งหน้าตั้งตากลับมาคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัดเช่นเดิมกระทั่ง มาติ๊ป เรียกเสียงกรี๊ดจากกองเชียร์ทีมเยือนได้สำเร็จ
เท่านั้นไม่พอ ในช่วงทดเวลา เดอะ แฮมเมอร์ส หวิดแชร์แต้มได้เห็นๆเนื่องจาก โบเว่น ทะลุเข้าเขตโทษจ่อง้างไกอยู่แล้ว แต่ มาติป ปราดเข้ามาสกัดลูกอันตรายได้ทันช่วยให้ทีมซิวสามแต้มเต็มกลับบ้านไปได้ เขาจึงโชว์ฟอร์มในเกมนี้ได้อย่างน่าประทับใจไม่แพ้ใคร และคว้ารางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครองตามระเบียบ
รวมเวลา 90 นาที แม้ทีมของ มอยส์ เกือบตีเสมอได้ แต่จากภาพรวมต้องบอกว่าทีมเยือนสมควรเป็นง่ายกำชัยเนื่องจากครองบอลได้มากกว่า 73:27% และได้ลุ้นพังประตูรวม 20 ครั้ง เข้ากรอบ 4 ครั้ง ขณะที่ เวสต์แฮม ได้ส่องยิง 7 ครั้ง และเข้ากรอบ 2 ครั้ง
5. ท็อปโฟร์ไม่ไกลเกินฝัน
หลังจัดการคว้าสามแต้มที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม ได้สำเร็จ ลิเวอร์พูล ก็กลับมามีลุ้นคว้าอันดับท็อปโฟร์อย่างเต็มตัวแล้วเนื่องจากพวกเขาขยับขึ้นสู่อันดับหกโดยมีแต้มเท่ากับ สเปอร์ส แต่มีผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่า ไก่เดือยทอง ที่หล่นไปรั้งอันดับเจ็ด
ถึงขณะนี้ ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ไล่หลัง แมนฯ ยูไนเต็ด เหลือหกแต้ม แม้จะลงเล่นมากกว่า ผีแดง สองเกม แต่ยังได้ลุ้นผลลัพธ์เกมในวันพฤหัสบดีนี้เนื่องจากทีมของ เอริค เทน ฮาก ต้องบุกไปเยือน สเปอร์ส และอาจตัดแต้มกันเองก็เป็นได้ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อ หงส์แดง เต็มๆ
และที่สำคัญ ระยะนี้ คล็อปป์ ได้กำลังสำคัญทั้ง ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ หลุยส์ ดิอาซ ฟิตสมบูรณ์กลับมาลงสนามได้ด้วยโดยเฉพาะปีกซ้ายโคลอมเบียซึ่งทำเอาเจ้าบ้านต้องอาศัยสองนักเตะตามประกบตลอดเวลาจึงชี้ให้เห็นว่า เครื่องจักรสีแดง พร้อมล่าตั๋วลงเล่นถ้วยหูใหญ่ในซีซั่นหน้าอย่างเต็มตัวแล้ว