แฟนบอลลิเวอร์พูลบางคนอาจไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะดื่มด่ำกับชัยชนะที่เอลแลนด์ โร้ด เท่าไหร่
เพราะด้วยผลงานน่าละเหี่ยใจที่ผ่านมาและสถานการณ์บนตารางคะแนนทำให้บรรยากาศหงอยเหงา การตามลุ้นไม่ตื่นเต้นอย่างฤดูกาลแย่งแชมป์ดุเดือดกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่อารมณ์ร่วมสูงปรอทแตกในแต่ละเกม
บุกชนะสวยหรู 6-1 มันก็โอเค ดีงาม แต่จะให้ดีใจสุดๆ ก็คงทำได้ไม่เต็มที่ เพราะมันอาจเป็นภาพลวงตาก็ได้ เกมต่อๆ ไปจะต้องถอนหายใจอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วไหนจะตารางคะแนนที่ยังลุ้นเหนื่อยกับพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีกอีก ข่าวถอนตัวจากดีล จู๊ด เบลลิงแฮม อีก มันไม่เอื้อให้มีอารมณ์สนุกเท่าไหร่
แต่ก็ดีใจที่ทีมชนะนะไม่ใช่ไม่ดีใจ
ให้เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับซีซั่นนี้คือการลุ้นเหมือนท้ายฤดูกาล 2020/21 ที่เร่งเครื่อง 10 นัดสุดท้ายบวกปาฏิหาริย์ลูกโหม่งของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ตีตั๋วไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
มันอาจจะเกิดขึ้นก็ได้เพราะในทางทฤษฎีนั้นยังเป็นไปได้ สามคะแนนเหนือลีดส์ ยูไนเต็ด ทำให้ลิเวอร์พูลอยู่ห่างจากอันดับสี่ 9 คะแนน เหลือเกมให้เตะอีก 8 นัด แต่มันก็ยังห่างอยู่ดี รอใกล้ๆ มีลุ้นจริงๆ จังๆ ขึ้นมามากกว่านี้แล้วค่อยกลับมาตื่นเต้นก็แล้วกัน
นั่นอาจเป็นเหตุผลรวมๆ กันที่ทำให้ความรู้สึกของบางคนไม่เต็มที่กับชัยชนะ 6-1 เมื่อคืนที่ผ่านมาเท่าไหร่ แต่มันก็คงไม่ใช่กับทุกคนเช่นกันครับ เพราะแฟนบอลบางคนก็ดีใจกับมันอย่างเต็มที่ ปลดปล่อยอารมณ์ยินดีออกมาไม่ต้องเก็บหรือกลั้นมันเอาไว้
ผลงานแย่ๆ ดีๆ ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของอดีต ตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก จะได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของอนาคต แต่เกมล่าสุดกับสถานการณ์ล่าสุดบนตารางคะแนนนั้นคือปัจจุบัน
เดอะค็อปบางคนก็เลือกตรงนั้น ดื่มด่ำความสุข ณ เวลานี้ จะไปคิดกังวลอะไรมากมายกับอนาคตด้วยการเอาเรื่องย่ำแย่ในอดีตไปถมทับ ทุกองค์กร ทุกหน่วยงานต่างก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีปัญหาก็แก้ปัญหา ปล่อยให้คนมีหน้าที่ทำงานเขาทำงานของตัวเองไป เราก็เชียร์นักเตะทุกๆ คนของทีมไป ชนะก็ดีใจ แพ้ก็เสียใจ พลาดแล้วก็มาว่ากันใหม่
การได้เห็นทีมเล่นดีและชนะ นักเตะหลายคนเล่นดีและทีมชนะ ได้เห็นการปรับเปลี่ยนทดลองของเจอร์เก้น คล็อปป์และทีมชนะ ได้เห็นคักโปยิง เห็นโชต้ายิง เห็นซาลาห์ยิง เห็นดาร์วินยิง เห็นเทรนต์เล่นกลางและทำแอสซิสต์ เห็นหลุยส์ ดิอาซคัมแบ๊ก อันดับสี่ก็ยังลุ้นอยู่ไม่หลุดวงโคจร แล้วทำไมถึงจะต้องบังคับตัวเองให้ไม่แฮปปี้กับมันเล่า
ปัจจุบันดีไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะดีนั่นก็จริง แต่ปัจจุบันดีก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะแย่เสมอไปเช่นกัน
สำหรับผมมองว่าลิเวอร์พูลอยู่ในจุดที่น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลหลายอย่างประกอบกัน ความที่ไม่มีโปรแกรมเตะรายการอื่นเหลืออยู่อีกก็ช่วยได้ บทสัมภาษณ์ของคล็อปป์ก่อนเตะกับลีดส์นั้นชัดเจน ทีมได้ซ้อมเต็มที่ตลอดสัปดาห์เป็นเรื่องที่ไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว ทุกคนสามารถมีสมาธิพุ่งไปที่ เอลแลนด์ โร้ด ได้ร้อยเปอร์เซนต์ ได้เตรียมทีมกันอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่ฟื้นฟูร่างกายแล้วก็กำหนดแผนการซ้อมรอเล่นเกมกลางสัปดาห์จนไม่มีเวลาอย่างที่ผ่านมา
การตกรอบหมดไม่เหลือบอลถ้วยสักรายการให้ลุ้นโดยหลักการแล้วไม่ดีหรอกนะครับเพราะหมายความว่าความสำเร็จที่มีโอกาสได้มัน 4 รายการจะเหลือแค่รายการเดียว แต่ในอีกทางมันก็อาจจะเป็นเรื่องดีในด้านนี้ เหมือนอย่างฤดูกาล 2013/14 ที่ทีมลุ้นแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จนถึงเกมสุดท้ายนั่นส่วนหนึ่งก็เพราะทีมไม่ต้องเสียสมาธิใดๆ ไปกับเกมยุโรปเลยเช่นกัน โฟกัสพุ่งไปที่พรีเมียร์ลีกร้อยเปอร์เซนต์
ช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาลนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น คือพุ่งเป้าหมายไปที่แต่ละเกมในลีกได้เต็มกำลัง จากโปรแกรม 8 นัดที่เหลือจะมีลักษณะเข้าข่ายแบบนี้อีก 3 นัด นั่นคือ 3 เกมสุดท้ายของฤดูกาล วันจันทร์ที่ 15 วันเสาร์ที่ 20 และนัดปิดซีซั่นวันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม
ห้าเกมจากนี้ไปยังคงเตะแบบ เสาร์-พุธ-เสาร์-พุธ แต่อย่างน้อยทีมจะมีเกมที่ได้เตรียมพร้อมตลอดสัปดาห์อย่างในนัดล่าสุดนี้อีกถึง 3 เกม ซึ่งเมื่อมันจะเกิดขึ้นใน 3 เกมสุดท้ายก็อาจเป็นกุญแจสำคัญในช่วงก่อนเข้าเส้นชัยก็ได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องความสมบูรณ์ในทีม นักเตะตัวหลักทยอยกันหายเจ็บกลับมา เวลานี้ทีมแทบไม่มีปัญหานักเตะเจ็บให้ปวดหัวเลย ตัวรุกที่จำกัดจำเขี่ยในช่วงก่อนหน้านี้ก็กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง นักเตะใหม่ทั้ง นูนเญซ และ คักโป ก็ปรับตัวเข้ากับทีมได้ดีขึ้น ไม่ได้ถูกส่งลงไปทดลองในสนามจริงเลยเพราะไม่มีคนเล่นอย่างช่วงที่สะดุดแล้วสะดุดอีก
เมื่อแดนหน้ากลับมาคึกคักขึ้นด้วยตัวหลักคืนสนามและตัวใหม่เริ่มปรับเคมีได้ลงตัวกับทีม มันก็ส่งผลต่อความกระชุ่มกระชวยในการเล่น เรื่องแรกคือคุณภาพโดยรวมดีขึ้นแน่ด้วยเกรดบอลของ ฟีร์มิโน่ โชต้า และ ดิอาซ เรื่องต่อมาคือทั้งสามคนตอบสนองกับฟุตบอลของคล็อปป์ได้ดีเป็นทุนเดิม เป็นประโยชน์ไม่เพียงเกมรุกเท่านั้นแต่ยังเป็นด่านแรกในการป้องกันยามคู่ต่อสู้ได้บอลบุกด้วย
แนวรับมีความมั่นใจที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของ อิบราฮิมา โกนาเต้ เป็นเสาหลัก ฟอร์มของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ อาจจะไม่อยู่ในระดับสูงสุดที่เคยทำได้แต่เขาก็ไม่ได้แย่ สามารถประคองตัวเองรอดได้แม้จะไม่อาจแบกเกมรับทั้งแผงได้เหมือนก่อน จะอย่างไรการขึ้นมาของโกนาเต้ก็ถือว่าทันเวลาพอดี
กองกลางที่มีคำถามมากที่สุดแม้อาจจะยังไม่ทรงพลังโดดเด่นจนแทบไร้ที่ติเหมือนซีซั่นก่อนๆ แต่งานของพวกเขาก็เบาขึ้นเมื่อเกมรุกกับเกมรับลงตัวกว่าเดิม เราได้เห็นการขับเคลื่อนทำเกมและตัดเกมที่ราบรื่นขึ้น บอลไม่ทะลุจากแดนหน้ามาง่าย หรือถ้าจะถูกวางข้ามแดนกลางไปเกมป้องกันก็รับมือกับมันได้ดี
แน่นอนครับมันบวกกับการได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาของคล็อปป์อย่างที่เขาบอกเราเอาไว้อีกด้วย
ช่วงที่ถูกวิจารณ์หนักหน่วงจากรอบด้าน คล็อปป์เคยพูดเอาไว้ว่าไม่มีใครอยู่เฉยๆ หรอก มีปัญหาก็แก้ปัญหา เขาเองก็มีหน้าที่แก้ปัญหา
ถ้าว่ากันถึงเป้าหมายแต่แรกมันก็คงล้มเหลวเพราะลิเวอร์พูลตั้งเป้าไว้ที่แชมป์ หรือกระทั่งเป้าหมายรองอย่างพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีกก็ยังอาจจะหลุดมือ แต่เราก็ได้เห็นเขาทำอย่างที่พูด คือพยายามแก้ปัญหาให้ทีมกลับมาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องให้เร็วที่สุดในช่วงที่เหลืออยู่ของฤดูกาล ทั้งยังเตรียมความพร้อมสู่ฤดูกาลหน้าไปในตัว
แดนกลางที่มีปัญหาและจะขาดนักเตะไปแน่ๆ อย่างน้อยสามคนในช่วงปิดฤดูกาลถูกอุดด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับบทบาทฟูลแบ๊กที่ขยับเข้ามายืนเป็นมิดฟิลด์คู่กลางยามที่ทีมได้บอลบุก
มันคือบทบาทที่เขาเคยเล่นมาบ้างแต่ไม่บ่อย และเป็นบทบาทที่แฟนบอลบางส่วนเรียกร้องอยากเห็นมานาน เราเพิ่งจะได้เห็นเขาเล่นอย่างนั้นต่อเนื่องในช่วงหลังนี้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรดานักเตะตัวรุกเริ่มทยอยหายเจ็บกลับมา
มันเป็นหนึ่งในการแก้ปัญหาที่คล็อปป์ทำให้เห็น ทำไมถึงเพิ่งมาทำตอนนี้คงไม่มีใครตอบได้นอกจากเขา ที่ผ่านมาเขาอาจจะเคยทดลองในสนามซ้อมแล้วแต่ไม่ได้ผลก็ได้ หรือเขาเองก็ยังไม่อยากเสี่ยงหรอกเพียงแต่สถานการณ์เวลานี้มันเอื้อให้ได้ทดลองก็ได้
เราไม่รู้หรอกครับว่าฤดูกาลหน้าเทรนต์จะเล่นแบบนี้ต่อไปหรือกลับไปเป็นแบ๊กขวาเต็มตัวอย่างเดิม หรือขยับขึ้นมายืนตัวกลางถาวรไปเลยโดยเลือกเติมแบ๊กขวาตัวใหม่แทน
ถ้าให้ผมเดาความคิดของคล็อปป์ ฤดูกาลหน้าเขายังน่าจะมองเทรนต์ว่าเป็นแบ๊กขวาตัวหลักโดยทีมจะเลือกเพิ่มศักยภาพในเกมรับของเขาให้ดีขึ้นมากกว่าจะดันขึ้นมายืนมิดฟิลด์ถาวร แต่เขาจะเป็นอะไหล่พิเศษในตำแหน่งกองกลาง
คล้ายๆ กับที่ โจ โกเมซ ปกติเล่นเซนเตอร์แบ๊กแต่เป็นอะไหล่ในตำแหน่งแบ๊กขวาในกรณีจำเป็น ฟาบินโญ่ ปกติเล่นมิดฟิลด์ก็เป็นอะไหล่ในตำแหน่งเซนเตอร์แบ๊กในยามฉุกเฉิน หรือ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ เป็นอะไหล่ในตำแหน่งหน้าขวาซึ่งเป็นตำแหน่งถนัดของเขาจริงๆ เพียงแต่ติด ซาลาห์ จึงต้องปรับมายืนกองกลาง
ลักษณะนี้มีข้อดีตรงที่ทีมไม่ต้องเสียเงินไปกับการซื้อนักเตะกองกลางคนใหม่อีกหนึ่งคน ถ้าหากขาดอยู่ 3 ก็ซื้อใหม่แค่ 2 ถ้าหากขาดอยู่ 4 ก็เติมใหม่แค่ 3 และยังทำให้ขนาดทีมไม่ใหญ่จนเกินไป
ความน่าตื่นเต้นของเดอะค็อปนอกจากช่วง 8 เกมที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้แล้วยังเป็นการเสริมทีมในตำแหน่งกองกลางว่า คล็อปป์ จะเลือกใครบ้างในช่วงปิดฤดูกาลอีกด้วย ตอนนี้เรามองเห็นพื้นที่ว่างแล้วอย่างน้อย 3 ที่คือพื้นที่ของ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน พื้นที่ของ นาบี เกอิต้า และพื้นที่ของ เจมส์ มิลเนอร์ ยังไม่รวม อาร์ตูร์ ที่คงถูกปล่อยกลับยูเวนตุสเมื่อหมดสัญญายืมตัว
นั่นจะเป็นพื้นที่ที่จะถูกเติมเข้ามา ส่วนจะเติมกี่คนนั้นเราคงต้องลุ้นกัน ถ้ามองจากคนที่มีอยู่อย่าง เฮนเดอร์สัน ฟาบินโญ่ ติอาโก้ โจนส์ และ เอลเลียตต์ รวมอะไหล่อย่างเทรนต์ บางทีคล็อปป์อาจจะเสริมในรอบนี้ด้วยตัวเป้งๆ ที่เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งแค่คนเดียวเท่านั้นก็ได้ แต่คนเดียวนี้จะเป็นคนที่ฝ่ายบริหารต้องพร้อมสู้ทุกราคาเหมือนอย่าง ฟาน ไดค์ และ อลีสซง ก่อนจะไปเติมอีกสักคนในปีหน้าเมื่อ เฮนโด้ ติอาโก้ และ ฟาบินโญ่ หมดพลังลงจริงๆ
แต่ผมคิดว่าตลาดนี้คล็อปป์น่าจะเผื่อเรื่องพละกำลังของสามตัวหลักที่อายุเกินสามสิบด้วยการเติมแดนกลาง 2 คน และคงไม่ใช่ระดับซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพงหูฉี่จนเป็นความเสี่ยง คุณสมบัติของทั้ง 2 คนยังน่าจะเป็นแบบที่ลิเวอร์พูลทำงานมาโดยตลอดคือไม่เน้นความโด่งดังหรือชื่อเสียงที่ทำให้ราคาพุ่งทะลุไปไกล แต่เน้นการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการของคล็อปป์ที่สุด
เราเองก็คงต้องเชื่อมั่นในทีมวิเคราะห์นักเตะของเราที่ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด ไม่มี ไมเคิ่ล เอ๊ดเวิร์ดส์ แล้ว จูเลี่ยน วอร์ด ก็กำลังจะไป เขาอาจทิ้งทวนให้เราด้วยนักเตะที่เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่สุดในแดนกลางก็ได้ หรือถ้าวอร์ดจะไม่มีบทบาทอีกแล้วจริงๆ มันก็ต้องเป็นผลงานของผู้อำนวยการฟุตบอลคนใหม่ซึ่งตอนนี้เริ่มมีชื่อพัวพันเข้ามาเรื่อยๆ หรือเต็มที่ก็จะเป็นงานของคล็อปป์และทีมงาน
เกมต่อไปมี น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ รออยู่ เสียงแซวอาจจะวนเวียนอยู่รอบๆ แอนฟิลด์ว่าระวังกระสุนหมดเหมือนเกมแพ้บอร์นมัธหลังจากถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0 นะ แต่ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลก็ชนะนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด หลังถล่มบอร์นมัธ 9-0 และชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังบุกถล่มกลาสโกว์ เรนเจอร์ส 7-1 ในแชมเปี้ยนส์ ลีกมาแล้ว
กระสุนก็ไม่ใช่ว่าจะหมดทุกครั้งเสมอไปหรอกน่า
สำหรับผมแล้ว ฤดูกาลนี้ยังสนุกอยู่ครับ
สนุกทั้งสถานการณ์ในตารางคะแนนที่ยังมีความหวัง สนุกทั้งขุมกำลังที่กลับมาสมบูรณ์พร้อมอีกครั้ง สนุกทั้งการเห็นคล็อปป์ได้แก้ไขปัญหาของทีม และจะยังรอสนุกกับช่วงปิดฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง มันน่าจะสนุกอย่างเข้มข้นเชียวล่ะ..
ตังกุย