ศึกอภิพญามหายุทธ์ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล ที่ แอนฟิลด์ จบลงด้วยการเสมอกันแบบสุดมัน 2-2
ขอบอกว่ามีครบทุกรสชาติ ทั้งสาระและความบันเทิงถึงขนาดเป็นเกมยอดเยี่ยมเกมหนึ่งแห่งฤดูกาลนี้ได้เลย และนี่คือสิ่งที่ผู้เฝ้าดูเหตุการณ์อย่างผมอยากจะบอก
1.ในมุมมองของผม การศึกครั้งนี้มีความสำคัญสำหรับ อาร์เซน่อล มากกว่า ลิเวอร์พูล นะครับ เพราะว่าพวกเขาพลาดไม่ได้
หลังถูกผู้ล่าอย่าง แมนฯ ซิตี้ ไล่มาด้วยชัยชนะ 5 นัดรวด ทีมปืนโตจึงต้องการชัยชนะเป็นอย่างยิ่ง
หากลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ที่กะซวกชัยมา 7 เกมติดต่อกันสามารถบุกไปเหยียบจมูกพวกพรี่ๆ ถึงถิ่นได้สำเร็จ นอกจากจะเพิ่มความมั่นใจ มันยังพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเหมาะสมกับการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ที่สุด
ปัญหาคือ อาร์เซน่อล มักเกิดอาการ "แพ้ทาง" ที่ แอนฟิลด์ !!!
ไอ้ปืนใหญ่ ไม่ชนะที่สังเวียนแข้งแห่งนี้มา 12 เกมติดต่อกันในทุกรายการแล้วนะครับ แถมยังพ่ายแพ้ในพรีเมียร์ลีกมาตลอด 6 ฤดูกาลล่าสุด แบบศพไม่ค่อยสวยซะด้วย
เท่านั้นไม่พอ "หงส์แดง" ที่เหมือนจะล้มเหลวในซีซั่นนี้จะแปลงร่างกลายเป็น "หงส์แดงผู้อหังการ" เมื่อเล่นต่อหน้าปวง เดอะ ค็อป ในบ้านตัวเอง
2.ฟอร์มการเล่นในช่วงหลังของทั้ง 2 ทีมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลังถล่มคู้แค้นอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด 7-0 พวกพรี่ๆ เขาเหมือนดึงพลังจากชาติหน้ามาใช้จนหมดถังไปเรียบร้อย เพราะไม่เคยชนะใครอีกเลย
ผิดกับ "สีหนาทปืนใหญ่" ที่เร็วแรงทะลุโลกันตร์พลางกะซวกชัยมา 7 เกมติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก
สำหรับตัวผู้เล่นก็เหมือนผู้มาเยือนจะเหนือกว่านิดๆ
อาร์เซน่อล ไม่มีเซ็นเตอร์แบ็คคนสำคัญอย่าง วิลเลี่ยม ซาลีบา จนต้องเอา ร็อบ โฮลดิ้ง ลงแทน นอกนั้นเหมือนเดิมหมด ซึ่งเป็นผู้เล่นที่ มิเกล อาร์เตต้า ใช้อย่างต่อเนื่องมาตลอด
ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดทีมตามสภาพ
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับคืนสู่ทีมชุดใหญ่อีกครั้ง หลังถูกดร็อปไปปรับทัศนะคติหนึ่งนัด ก่อนกลายเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของเกมนี้ที่จะกล่าวถึงในลำดับต่อๆ ไป
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ หายป่วยกลับมาประจำการ ขณะแดนกลางปรากฏชื่อของ เคอร์ติส โจนส์ ที่บรรดาเด็กหงส์เหมือนจะไม่โปรดปราณสักเท่าไหร่
ส่วนหน่วยเหนือประกอบด้วย โม ซาล่าห์, โคดี้ คักโป และดิโอโก้ โชต้า โดยบนม้านั่งสำรองมีทั้ง ดาร์วิน นูนเญซ, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และติอาโก้ อัลคันตาร่า ที่หายเจ็บกลับมาแล้ว
3.อาร์เซน่อล เปิดฉากอย่างเร้าใจ
นักเตะทุกตัวสำแดงความหื่นกระหายออกมาแบบเต็มพิกัดเก็บ ด้วยการช่วยกันไล่ ช่วยกันเล่น และเข้าถึงบอลเร็วทุกจังหวะ
เมื่อเป็นฝ่ายครอบครองบอลก็จะทำเกมรุกด้วยสปีดความเร็วโดยพลัน
เรียกว่าเล่นแบบ...เอาตาย !!!
เพียงแค่ 8 นาที ก็ขึ้นนำ 1-0 จาก กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ที่ต้องขอบใจ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่บรรจงแอสซิสต์ให้
ผู้มาเยือนเล่นด้วยความคึกคักและฮึกหาญมากกว่าเห็นๆ แพสซั่นแม่งมาแบบเต็มๆ ทั้งไล่ล่าและโขยกอย่างไม่ยั้งหยุด
ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หัวหอกอย่าง กาเบรียล เชซุส บวกเพิ่มเป็น 2-0 ด้วยความดุดันแบบไม่เกรงใจเจ้าถิ่น
สถานการณ์ ณ จุดนั้น ประหนึ่งพญามัจจุราชมารอรับวิญญาณของหงส์แดงที่ แอนฟิลด์ แล้ว เพราะด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่สะใจสุดขีดคลั่ง หลังนำห่าง 2 ดอก อาร์เซน่อล ก็ยังไม่ยอมหยุด
อย่างไรก็ตาม
ผู้ชมทางบ้านอย่างผมกลับมองเห็นอะไรบางอย่างจาก เดอะ กันเนอร์ส
สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือความห้าวโหดเกินไปจนกลายเป็นความประมาท !!!
คือหลังจากนำ 2-0 ผมคิดว่า อาร์เซน่อล ควรจะปรับมาเล่นด้วยความรัดกุม และระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ไม่ใช่การเล่นแบบ "วัดทุกจังหวะ" อย่างที่เห็น
เหมือนพวกเขาย่ามใจและประเมิณค่าของ ลิเวอร์พูล ต่ำไปครับ เวลาได้บอลจึงพยายามจะเร่งเกมเร็ว หวังกระทุ้งดอกที่ 3 เพื่อเอาให้ตายมากไปจนขาดความแน่นอน
บางจังหวะสามารถดึงให้ช้าลงได้ เพื่อความแน่นอนมากขึ้น พวกเขากลับเร่งจังหวะจนกลายเป็นการเสียบอลง่ายๆ ให้ ลิเวอร์พูล บุกใส่มากขึ้นเรื่อยๆ ซะอย่างนั้น
อย่าลืมนะครับว่าศักยภาพผู้เล่นของหงส์แดงก็มิใช่เบา ถึงแม้ฟอร์มจะตกลงไป แต่ผู้เล่นหลายคนของพวกเขายังมีทีเด็ดเฉพาะตัว
4.แล้ว ลิเวอร์พูล ก็มาตีไข่แตกไล่มาเป็น 2-1 ได้สำเร็จ ก่อนจบครึ่งแรก
นี่แหละ...จุดเปลี่ยนสำคัญ
ลองคิดดูนะครับว่าถ้าจบครึ่งแรก อาร์เซน่อล นำ 2-0 พวกเขาจะเล่นได้ง่ายขึ้นขนาดไหน แถมไม่กดดันมากนักในครึ่งหลัง
ผิดกับการออกมาเล่นในครึ่งหลังด้วยการนำ 2-1 ด้วยแรงเหวี่ยงที่สวิงกลับไปที่เจ้าบ้าน
เมื่อประกายแห่งความหวังถูกจุดขึ้นมา พลพรรคหงส์แดงก็ลงมาเล่นในครึ่งหลังพร้อมความหื่นกระหาย
...ว่าแล้วก็บดบี้พลางบุกกดดันผู้มาเยือนอยู่ข้างเดียว
พวกพรี่ๆ เหมือนไม่มีดวงนะครับ เมื่อ โม ซาล่าห์ สังหารจุดโทษพลาด ทว่าสาบาน ผมกลับมองว่ามันเป็นแค่การยืดเวลาตายของ อาร์เซน่อล ออกไปเท่านั้นเอง เพราะนาทีนั้น ลิเวอร์พูล ควบคุมทุกอย่างได้แบบเบ็ดเสร็จ
ส่วน "ปืนโต" ก็เหมือนจะ "ชอต" ไปเลย ตั้งแต่ถูกตีไข่แตกแล้ว
สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็กลับมาจนได้จากตัวสำรองอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ซึ่งคนที่บรรจงเปิดบอลให้เขาก็มิใช่ใครที่ไหน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
5.เกมรับคือจุดอ่อนของแบ็คขวาสายพันธุ์สเกาเซอร์ผู้นี้ก็จริง แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงยักไหล่และส่งลงเล่นก็เพราะต้องการซื้อเกมรุกจากเขานั่นแหละ
เทรนต์ เปิดบอลทะลุทะลวงพลางสร้างความกดดันให้เกมรับของ อาร์เซน่อล หลายจังหวะ เฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งหลังที่ไม่ต้องพะวักพะวงเกมรับมากนัก เนื่องจากบุกอยู่ฝ่ายเดียวเลย
หาก โม ซาล่าห์ สังหารจุดโทษเข้า และตีเสมอเป็น 2-2 ได้เร็วในช่วงต้นครึ่งหลัง ขอบอกว่า อาร์เซน่อล ถึงขนาดเด๊ดห่าได้เลย
นอกจากนี้ ความเหนียวของ อารอน แรมส์เดล นายทวารปืนโตยังช่วยให้พวกเขายังรอดพ้นจากความปราชัย
อาร์เซน่อล เกือบเป็นทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในเกมเดียวกัน
น่าเสียดายที่ความบ้าบิ่นเกินไปหน่อยตามประสาเด็กหนุ่มทำให้ตัวเองขาดความเยือกเย็นเพียงพอที่จะเล่นแบบรักษาสกอร์ตอนนำ 2-0
ส่วน ลิเวอร์พูล ก็ยังคงเป็นทีมที่น่าขามเกรงใน แอนฟิลด์ แถมอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ขัดขวางความสำเร็จของพวก เดอะ กันเนอร์ส ในฤดูกาลนี้
เพราะการหยุดความร้อนแรงของผู้มาเยือนช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตัวเองเรียบร้อย
เพราะหากทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ ชนะทุกนัดที่เหลือ พวกเขาจะป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จอีกสมัย
บอ.บู๋