เป็นอันว่าทั้ง เชลซี และ ลิเวอร์พูล ยังนัดกันสร้างผลงานได้อย่างน่าผิดหวังไม่เลิกราหลังเปิดศึก พรีเมียร์ลีก ที่สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อวันอังคารที่ 4 เม.ย. และเสมอกันไปแบบไร้รสชาติ 0-0
แน่นอนว่าในฐานะกุนซือมือใหม่ป้ายแดงขัดตาทัพ บรูโน่ ซัลตอร์ ซึ่งคุมทีมเป็นเกมแรกในชีวิตสามารถคว้าหนึ่งแต้มในเกมสำคัญของตัวเองได้ แต่ขณะเดียวกันก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อยเนื่องจาก สิงห์บลูส์ น่าจะตะปบ หงส์แดง ได้อยู่หมัดหากบรรดากองหน้าสามารถยิงประตูได้คมกว่าที่เห็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมเยือนไม่ได้ส่งชุดที่ดีที่สุดลงสนามซะด้วย
1. สิงห์บลูส์ โรเตชั่นทีมสองจุด
ซัลตอร์ นายใหญ่ขัดตาทัพของ เชลซี จัดทีม 11 คนแรกเปลี่ยนไปจากเกมล่าสุดที่พวกเขาแพ้ แอสตัน วิลล่า คารัง 2-0 จน แกรม พ็อตเตอร์ ตกเก้าอี้รวมสองรายด้วยกัน
นอกจากจะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกเป็นเกมแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค.แล้ว เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ยังได้รับบทกัปตันทีมเกมนี้ด้วย ขณะที่ เวสลีย์ โฟฟาน่า เป็นอีกรายที่ได้ออกสตาร์ตแทนที่ รูเบน ลอฟตัส ชีค กับ มิไคโล มูดริค
พร้อมกันนี้ สิงห์บลูส์ ได้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง อดีตปีกทีม ลิเวอร์พูล หายเจ็บกลับมานั่งเป็นตัวสำรองด้วย
2. หงส์แดง เปลี่ยนทีมครึ่งโหล
เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ตัดสินใจครั้งใหญ่ด้วยการปรับโผนักเตะ 11 คนแรกมากถึงหกรายจากเกมบุกไปแพ้ แมนฯ ซิตี้ 4-1
ไม่เพียง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จะป่วยไม่ได้เดินทางมากับทีมแล้ว โม ซาลาห์ ก็เสียตำแหน่งตัวจริงให้กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ โดยสตาร์ทีมชาติ อียิปต์ โดนดร็อปเป็นตัวสำรองเช่นเดียวกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน หลังจาก หงส์แดง มีเกมรับที่เลวร้ายเสียประตูในซีซั่นนี้อย่างง่ายดาย
ขณะเดียวกัน ในแผงรุกสามหัวหอก ดีโอโก้ โชต้า เป็นหนึ่งเดียวที่ยังได้ลงเล่นจากเกมแพ้ เรือใบสีฟ้า โดย โคดี้ กัคโป โดน ดาร์วิน นูนเญซ เบียดหล่นไปนั่งในซุ้ม
อย่างไรก็ดี คล็อปป์ เผยถึงเหตุผลการจัดทัพที่ผิดไปจากความคาดหมายโดยสิ้นเชิงว่าหลายรายจำเป็นต้องพักบ้าง และบางรายสมควรได้รับโอกาสประหนึ่งเหมือนเขาต้องการเตรียมความพร้อมเอาไว้ต้อนรับ อาร์เซน่อล ในเกมบิ๊กแมตช์วันอาทิตย์นี้ซะมากกว่า
3. เฮนโด้ 350
ต่อการได้ลงเล่นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทำให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงสนามในเกมลีกให้ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 350 พอดี
สำหรับตัวเลขดังกล่าว หมายความว่ากัปตัน เฮนโด้ นับเป็นพ่อค้าแข้ง หงส์แดง รายที่ 22 แล้วที่รับใช้ทีมมาจนถึงหลักนี้
ขณะเดียวกัน หากจะนับเฉพาะในยุคที่ พรีเมียร์ลีก ได้รับการสถาปนา มีเพียง สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ แค่สองรายที่มีสถิติในด้านนี้เหนือกว่าอดีตมิดฟิลด์ทีม ซันเดอร์แลนด์
4. ความฝืดเป็นเหตุสังเกตได้
ห้านาทีแรกของเกม เชลซี มีโอกาสเหน่งๆที่จะได้ประตูขึ้นนำถึงสองครั้ง แต่พวกเขาทิ้งโอกาสทองไปหมด และจากนั้นก็มีโอกาสคลำเป้าให้เห็นอีกเนื่องจากแผงหลังชุดนี้ของ ลิเวอร์พูล ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร
ถึงอย่างนั้น การขาดตัวจบสกอร์ฝีเท้าคมที่สามารถพึ่งพาได้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทีมเงินถังของกรุงลอนดอนมีผลงานที่เลวร้ายอย่างที่เห็น
อย่างเกมล่าสุดที่ทำให้ พ็อตเตอร์ ตกงาน สิงห์บลูส์ มีโอกาสส่องยิง วิลล่า มากถึง 27 ครั้ง แต่แพ้คารัง 2-0 หน้าตาเฉยทั้งๆที่ทีมเยือนมีโอกาสยิงโดยรวม 5 ครั้งเท่านั้น และได้มาสองประตู
มาถึงเกมปะทะกับ ลิเวอร์พูล จบครึ่งแรก พวกเขายิงประตูออกนำไม่ได้ แถมท้ายเกมเป็น หงส์แดง ที่ได้บุกขึ้นไปทำเสียวหลายหน และหวิดได้สกอร์นำด้วยซ้ำโดยจบ 45 นาทีแรกทั้งสองทีมได้ยิง 6 ครั้งเท่ากัน และเป็นทีมเยือนที่ส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 3:2 ครั้ง อีกทั้ง เร้ด แมชีน ครองบอลได้มากกว่า 54:46%
ด้วยเหตุนี้ เชลซี ที่เป็นเหมือนสิงโตที่ไร้เขี้ยวเล็บจึงสานต่อผลงานเลวร้ายยิงประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ช่วงครึ่งแรกไม่ได้เลยนานแปดนัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว และมันเทียบเท่าสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดของสโมสรที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเดือนพ.ย.1992 - มี.ค. 1993
5. ผลลัพธ์ที่ยุติธรรม
กลับสู่ครึ่งหลัง เชลซี เป็นฝ่ายหาจังหวะยิงประตูได้มากกว่ารวม 12 ครั้งหลังครบ 90 นาที แต่ส่งบอลเข้ากรอบได้แค่ 3 ครั้งเนื่องจากส่วนใหญ่ยิงนกตกปลากันเหมือนเคย ขณะที่ ลิเวอร์พูล ได้ยิงรวมกัน 7 ครั้ง และเข้ากรอบ 4 ครั้ง รวมถึงครองบอลได้มากกว่าเล็กน้อย 51:49% ก่อนที่เกมจะจบลงแบบตาข่ายไม่ขาดด้วยกันทั้งคู่
มองดูแล้ว เจ้าบ้านอาการหนักอย่างน่าตกใจเนื่องจากทั้ง ไค ฮาแวร์ตซ์ และ ชูเอา เฟลิกซ์ ไม่อาจตอบแทนทีมด้วยการยิงประตูได้ทั้งๆที่โอกาสเปิดกว้างให้หลายหน ลงเอยแล้วเกมคู่นี้จึงกินกันไม่ลงอีกตามเคย และเสมอกันไปด้วยสกอร์ 0-0 เป็นนัดที่สี่ติดต่อกันแล้วในทุกรายการ
ฉะนั้นแล้ว เกมระหว่าง สิงห์บลูส์ กับ หงส์แดง จึงเป็นเกมในลีกสูงสุดของอังกฤษคู่ที่สามแล้วที่ดวลกันสี่เกมหลัง และเสมอกันแบบไม่มีประตูเรียบวุธเช่นเดียวกับเกมระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับ ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1974-1975 และเกมระหว่าง อาร์เซน่อล กับ คิวพีอาร์ ระหว่างปี 1992-1994
27 ก.พ.2022 เชลซี 0- ลิเวอร์พูล 0 คาราบาวคัพ นัดชิงชนะเลิศ (ลิเวอร์พูล ชนะดวลลูกโทษ 11-10)
14 พ.ค. 2022 เชลซี 0- ลิเวอร์พูล 0 เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ (ลิเวอร์พูล ชนะดวลลูกโทษ 6-5)
21 ม.ค.2023 ลิเวอร์พูล 0- เชลซี 0 พรีเมียร์ลีก
4 เม.ย. 2023 เชลซี 0- ลิเวอร์พูล 0 พรีเมียร์ลีก