คงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์อะไรมากนักกับการที่ แกรม พ็อตเตอร์ โดน เชลซี ปลดกลางอากาศทั้งๆ ที่เพิ่งทำงานได้แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น เนื่องจากผลงานของเขากับสโมสรถือว่าย่ำแย่เกินเยียวยาจริงๆ
อย่างไรก็ตาม พ็อตเตอร์ ยังถือว่าเป็นผู้จัดการทีมที่มีอนาคตอีกยาวไกล ฉะนั้นแม้ว่าจะเสียประวัติจากการถูกเฉดหัวออกจากถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่ด้วยศักยภาพของเจ้าตัวน่าจะยังคงได้รับความสนใจจากหลายๆ สโมสรในระดับกลางตาราง
สำหรับตอนนี้ นายใหญ่ชาวอังกฤษ น่าจะใช้เวลาในการขบคิดว่าเขาจะทำอะไรต่อไป หลังกลายเป็นคนว่างงานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนี่อาจจะเป็น 5 แนวทางที่เจ้าตัวน่าจะเลือกทำก็ได้
1. เที่ยวไปเรื่อยๆ พักผ่อนสมอง
ต้องยอมรับว่าการทำงานให้ เชลซี ถือว่าต้องใช้พลังกายและพลังใจอย่างมาก เนื่องจากนี่คือสโมสรใหญ่ และต้องการประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่สิ่งที่ พ็อตเตอร์ ทำกับ "สิงห์บลูส์" มันไม่ได้สอดคล้องกับความปรารถนาของบอร์ดบริหาร และแฟนบอลแม้แต่นิดเดียว
ผลงานสุดย่ำแย่แพ้ถึง 11 เกมจาก 31 แมตช์ในทุกรายการ แถมหล่นไปอยู่อันดับ 11 มี 38 คะแนนห่างจากอันดับท็อปโฟร์ถึง 12 แต้ม ทำให้โอกาสที่พวกเขาจะคว้าท็อปโฟร์แทบจะไม่มี และฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อแพ้ แอสตัน วิลล่า 0-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
สำหรับตอนนี้ พอตเตอร์ กลายเป็นกุนซือว่างงานอย่างเป็นทางการแล้ว และแน่นอนว่าศักยภาพของเขาคงมีสโมสรสนใจอยากใช้บริการ แต่มีความเป็นไปได้เช่นกันที่เขาอาจจะเลือกพักผ่อนร่างกายและจิตใจ โดยออกท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ กับครอบครัว เพื่อเคลียร์สมองก่อนจะหวนกลับมาทำงานอีกครั้ง
2. กลับบ้านเรารักรออยู่
พ็อตเตอร์ โด่งดังเป็นพลุแตกจากการที่เขาสร้าง ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ได้อย่างสุดยอด จนทำให้เจ้าตัวกลายเป็นกุนซือชาวอังกฤษเนื้อหอมสุดขีดในช่วงเวลาที่อยู่กับทัพ "เดอะ ซีกัลส์"
ย้อนกับไปเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา นายใหญ่วัย 47 ปี เคยเป็นที่หมายปองของสโมสรชั้นนำในอังกฤษ โดยเฉพาะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ถึงขนาดแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้เขาเข้ามากุมบังเหียนแทนที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มาแล้ว
ด้วยสไตล์การสร้างทีมโดยเน้นให้โอกาสดาวรุ่ง และมีปรัชญาการเล่นฟุตบอลที่สนุกเร้าใจ ทำให้เขาเป็นทีมชื่นชอบของพวกทีมใหญ่ จนสุดท้ายได้รับโอกาสทองกับ เชลซี แต่ก็อย่างว่าการทำงานให้ทีมบิ๊กเนมย่อมเจอความคาดหวังสูง บทสรุปก็อย่างที่เห็นกันแล้ว
สำหรับโอกาสในการกลับไปทำงานให้ ไบรท์ตัน ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ที่เข้ามาสานต่องานจาก พ็อตเตอร์ และทำผลงานได้อย่างสุดยอดจนทีมมีลุ้นคว้าโควต้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรป อาจจะอำลาทีมเพื่อไปทำงานกับสโมสรใหญ่ และนั่นอาจเป็นการเปิดทางให้กุนซือเลือดผู้ดีกลับมายืนที่เดิมอีกครั้ง
3. รอโอกาสคุมทีมระดับกลาง
พ็อตเตอร์ ไม่ใช่ว่าไม่เก่งแต่เขาอาจจะอยู่ผิดที่ผิดทาง เนื่องจากแรงกดดันในการคุมทีมระหว่างสโมสรยักษ์ใหญ่ กับพวกทีมกลางตารางมันต่างกันราวฟ้ากับเหว และแน่นอนว่านั่นเป็นจุดเปลี่ยนในการทำงานของเขา
ลองนึกภาพตอนที่ พ็อตเตอร์ ทำงานกับ ออสเตอร์ซุนด์ ทีมในลีกสวีเดน สามารถพาทีมเลื่อนชั้นจากลีกระดับ 4 ไปถึงลีกสูงสุดได้ภายในระยะเวลาแค่ 6 ปี, นำทีมได้แชมป์ สเวนสก้า คูเพน (เทียบเท่า เอฟเอ คัพ ของ อังกฤษ) 1 ครั้ง รวมถึงพาทีมไปลุย ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
จนกระทั่งได้รับโอกาสกลับมาทำงานในสหราชอาณาจักรกับ สวอนซี ซิตี้ เพียงแค่ฤดูกาล 2018/2019 และผลงานเข้าตา ไบรท์ตัน จนถูกส่งเทียบเชิญให้เข้ามากุมบังเหยนในปี 2019 ก่อนจะสร้างผลงานดีมีคุณภาพจนได้ยกระดับไปคุม เชลซี
เห็นได้ชัดว่า พ็อตเตอร์ เป็นคนเก่งมากเพียงแต่เขาเหมาะที่จะทำงานให้กับทีมระดับกลางตารางที่มีความกดดันไม่มาก เป้าหมายไม่ได้ใหญ่โต ฉะนั้นการที่เจ้าตัวเขย่งก้าวกระโดดไปคุม "สิงห์บลูส์" ทั้งๆ ที่ประสบการณ์และความสำเร็จยังไม่มากพอ จึงเป็นสาเหตุทำให้งานของเขาพังพินาศ
4. แต่งตัวรอทำงานกับอังกฤษ
ไม่ผิดหรอกที่จะบอกว่า พ็อตเตอร์ เป็นบุคคลที่มีโอกาสได้รับงานกับทีมชาติอังกฤษ ด้วยประสบการณ์และความสามารถของเขามีความเป็นไปได้ที่จะได้ทำงานในระดับประเทศเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ พ็อตเตอร์ เคยมีชื่อก้าวขึ้นไปเป็นแคนดิเดตในตำแหน่งนายใหญ่ทัพ "สิงโตคำราม" หากเกิดกรณีที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน ตัดสินใจที่จะวางมือจากการคุมทีมชาติอังกฤษ
สำหรับตอนนี้เรื่องการก้าวขึ้นไปทำงานให้ทีมชุดใหญ่ "ทรี ไลอ้อนส์" อาจจะต้องพักเอาไว้ก่อน แต่สำหรับการคุมทีมชุดเล็ก งานนี้มีโอกาสเช่นกัน เพราะผลงานของเขาในระดับสโมสรถือว่าสอบผ่านเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามตำแหน่งนายใหญ่ "สิงโตจูเนียร์" อาจจะต้องแข่งกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่กำลังว่างงาน และมีข่าวได้รับความสนใจให้เข้ามาทำงานช่วยปลุกปั้นบรรดาเด็กดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษเช่นกัน
5. อยู่บ้านใช้เงิน !
ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สำหรับกรณีสุดท้าย อย่าลืมว่าการที่ พ็อตเตอร์ โดนปลดจากตำแหน่งก่อนหมดสัญญานั่นทำให้ เชลซี จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยซึ่งบอกเลยว่ามหาศาลมากเลยทีเดียว
กุนซือเลือดผู้ดี เซ็นสัญญายาว 5 ปีกับยอดทีมแห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แน่นอนว่านี่คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจรับความท้าทายในการคุมทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" เพราะถ้าตกงานเร็วก็ได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่า
จากรายงานของสื่อหลายสำนักระบุไปในทิศทางเดียวกับว่า ท็อดด์ โบห์ลี่ เจ้าของสโมสรชาวอเมริกัน จะต้องจ่ายเงินชดเชยปีละ 12 ล้านปอนด์ (ราว 504 ล้านบาท) หากโดนไล่ออกก่อนหมดสัญญา
ฉะนั้นการที่เขาเพิ่งทำงานกับสโมสรแค่ 6 เดือนกว่าๆ นั่นหมายความว่าเจ้าตัวยังเหลือสัญญาเกิน 4 ปี และหากคำนวณจากค่าชดเชยที่จะได้งานนี้บอกเลยว่า พ็อตเตอร์ จะได้รับทรัพย์เข้ากระเป๋ารวมๆ มูลค่าเกือบ 50 ล้านปอนด์ (ราว 2,100 ล้านบาท)
ถ้าหากมีเงินติดบัญชีมากขนาดนี้ พ็อตเตอร์ อาจจะตัดสินใจอยู่นั่งเล่นนอนเล่นกินเงินชดเชยสบายๆ ที่บ้าน หรืออาจจะหันไปรับจ็อบเป็นพวกนักวิเคราะห์เกมตามสื่อทีวี หรือออนไลน์ต่างๆ เพราะเงินที่มีอยู่ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด !!!
ทอมเม้ง