เกิดเป็นคำถามในใจต่ออนาคตของ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ตอนนี้
ไม่สิ... อาจเกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถระบายมันออกมาได้เต็มปาก
การถูก เรอัล มาดริด ถีบร่วงตกรอบแบบไม่เป็นท่า ไม่ต่างอะไรกับการปลดแอกความรู้สึกอึดอัด
ตอกย้ำชัดเจนให้ปรากฏถึงฤดูกาลอันแสนห่วย
อาจดูรุนแรงไปบ้าง ก็อย่าเพิ่งกัน แต่จะให้หาคำไหนมาใช้แทนก็ให้อารมณ์เท่ากับคำนี้ไม่ได้เลย
จากทีมที่ลุ้นกวาดโทรฟี่ระดับเมเจอร์ทุกรายการเมื่อปีก่อน แปรสภาพสู่การถูกชี้หน้าว่ามือเปล่าในปีนี้
ไม่ใช่ว่าเสพติดความสำเร็จจนเคยชิน แต่จะให้เชิดชูหรือชินชาต่อผลงานที่เกิดขึ้นมันก็คงกะไรอยู่
คำถามคือ ฤดูกาล 2023/24 จะมีชื่อ ลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งใน 32 ทีมบนเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก ไหม?
แล้วต้องรออีกนานแค่ไหนที่ ลิเวอร์พูล จะคืนสู่สภาพดี ๆ เหมือนเดิม?
สถานะผีเข้า-ผีออก "เดอะ ค็อป" อารมณ์คล้ายอาการไบโพล่า บางสัปดาห์มีความสุขแบบอิ่มแบบ แต่ถัดมาก็จมดิ่งสู่ความทุกข์ฉับพลัน
12 เกมที่เหลือแบบที่ไม่มีถ้วยไหนมากั้น คือ 12 เกมแห่งความหวังเพื่อกอบกู้ซากปรักหักพังนี้ให้คืนสภาพคงเดิมให้ได้
ความท้าทายบนตารางคะแนนคือแซง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ แซง นิวคาสเซิ่ล ไม่ให้ ไบรท์ตัน แซง หรือแม้แต่ เบรนท์ฟอร์ด ที่ไล่จี้้ขึ้นมาเหลือคะแนนเดียว
การขับเคี่ยวนี้ไม่ต่างอะไรกับการลุ้นแชมป์ ซึ่งมีตั๋วถ้วย"บิ๊ก เอียร์"เป็นรางวัล
หลังทริปออกเยือนกรุงมาดริด เจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานมีเวลาพักเต็ม ๆ ราวสองสัปดาห์เพื่อเจอกับโปรแกรมหนักหนา
ห้ำหั่นกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัด
บุกต่อกร เชลซี ที่ เดอะ บริดจ์
และต้อนรับ อาร์เซน่อล ที่ แอนฟิลด์
3 เกมใน 10 วันนี้อาจเป็นการชี้ชัดถึงสิ่งที่จะจบลงตอนท้ายฤดูกาลเลยก็ได้
มันมีโอกาสที่ ลิเวอร์พูล จะทำแต้มไล่จี้อันดับ 4 หรือแซงหน้า
หรือโดนทิ้งขาดชนิดสิ้นความหวังหาก 9 แต้มที่มีให้เก็บได้มาศูนย์
อย่างไรก็ตาม อาจมีบ้างที่มองว่า ถ้าพลาด 3 เกมนี้ก็ยังมีอีก 9 นัดให้ถีบตัวเองขึ้น
แต่ถามกลับไป นี่คือ 3 เกมที่มีโอกาสพลาดมากที่สุดช ซึ่งมันอาจขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น แต่เปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นมีสูงมาก เพราะทีมเหล่านี้ไม่ได้มีคุณภาพด้อยกว่า ลิเวอร์พูล เลย
ด้วยระยะเวลา 17 วันนับจากสิ้นเสียงนกหวีดที่ เบร์นาเบว จวบจนยกพลบุกบ้านของทีมสีฟ้าแห่งเมืองแมนเชสเตอร์
คล็อปป์ มีเรื่องให้ขบคิดเพิ่มมากขึ้น เริ่มด้วยรูปแบบการเล่นอันไร้ทิศทาง สกอร์รวมพ่ายแพ้คู่แข่ง 2-6 คือผลที่มากที่สุดที่ทีมเคยเจอมาในถ้วยนี้
ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่ แอนฟิลด์ เมื่อสามสัปดาห์ก่อน ตลอดจนเลกสองนั้น เทียบไม่ได้เลยกับเกมที่พวกเขาสู้กับคู่แข่งหน้าเดิมบนสังเวียน สต๊าด เดอ ฟรองซ์ กรุงปารีส
ในระยะไม่ถึงขวบปี ระยะห่างกันชัดเจนเหลือเกิน ทีมหนึ่งขยับหนีออกไป ส่วนอีกทีมยิ่งถอยห่างออกมา
ครั้งนั้นหากไม่มี ธิโบต์ กูร์กตัวส์ ถ้วยยุโรปสมัย 7 คงเกิดขึ้น แต่กับ 180 นาทีที่ผ่านมา ผลลัพธ์ออกมาคือแพ้ทุกกระบวนท่า
ที่ เบร์นาเบว คล็อปป์ ไม่มีอะไรจะเสียเมื่อต้องส่งผู้เล่นแนวรุกลงพร้อมกัน 4 คน โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ, ดีโอโก้ โชต้า และ โคดี้ กัคโป
ต้องขอบคุณ อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่ยื้อให้ตัวเลขบนสกอร์บอร์ดคงไว้ที่ 0-0 จนจบครึ่งเวลาแรก
ส่วนครึ่งหลัง ทุกอย่างราบรื่น เรียบง่ายแบบไม่มีแรงกดดัน ไม่เร่งรีบ กว่าจะมีโอกาสยิงประตูก็เกิดขึ้นในนาทีที่ 83 จากจังหวะของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์
และถัดมา คาริม เบนเซมา ก็เป็นคนทำประตูโทน
ความล้มเหลวอันน่าผิดหวังเป็นสิ่งที่คุ้ยเคยอย่างเจ็บปวด และนั่นจะเป็นความกังวลของ คล็อปป์ เมื่อมองถึงเกมต่อ ๆ ไปที่กำลังจะเกิดขึ้น
อาการบาดเจ็บของ สเตฟาน บายเซติช เป็นปัญหาที่งอกขึ้นมา และจนถึงปิดซีซั่น บนไลน์อัปทีมชีตจะไม่มีดาวรุ่งสแปนิช อีกแล้ว
ลิเวอร์พูล กำลังจะเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่คับขันที่สุดครั้งหนึ่งของฤดูกาลนี้
3 เกมกับ "เรือใบ", "สิงบลูส์" และ "ปืนใหญ่" ไม่มีใครคาดการณ์ได้เลยว่าผลมันจะออกมาในทิศทางไหน
แต่ที่พอจะบอกได้กลาย ๆ คือผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นการชี้ชัดตอนจบของฤดูกาลนี้
นี่เป็นซีซั่นในรอบ 2-3 ปีที่ไม่สามารถหาความคงเส้นคงวาของ ลิเวอร์พูล ได้สักนิด
แน่นอนว่า นักเตะและทีมงานต้องดึงสิ่งนั้นกลับมา ฟังดูง่าย แต่ก็ยากมาก โดยเฉพาะในเกมกีฬาต้องต้องเล่นเป็นทีม และใช้เวลาแข่งขันเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน
ไม่ว่าคุณจะเล่นบาสเกตบอล เตะฟุตบอล ส่วนที่ยากที่สุดคือการถามหาความคงเส้นคงวาในแต่ละเกม
ถ้ารักษาได้ ก็จะก้าวหน้าต่อไป แต่ถ้าขลุกขลัก สามวันดี สี่วันไข้ ก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ไม่ได้เดินหน้าต่อไปไหน
ตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก คือความหวังของหมู่เหล่า "หงส์แดง"
ทุกคนคงทราบดีว่าซัมเมอร์นี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อขุมกำลัง ลิเวอร์พูล ครั้งใหญ่ในรอบหลายปี
นักเตะที่เตรียมเก็บข้าวของสละสีเสื้อสีแดงเพลิงไล่จาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ การันตีแล้วว่าขอตัดสินใจย้ายออก
คนอื่นอย่าง นาบี เกอิต้า, อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เจมส์ มิลเนอร์ มีแนวโน้มไม่ต่อสัญญาสูง รวมถึง อาร์ตูร์ เมโล่ ที่ต้องส่งกลับไปยังต้นสังกัด ยูเวนตุส
3 มิดฟิลด์ชุดใหญ่กำลังจะออกไป ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ายังไงก็ต้องมีคนใหม่เข้ามา
ฉะนั้น ความหวังที่ว่าก็คือ หากได้กลับไปก็พอจะดึงดูดผู้เล่นระดับสตาร์ได้ แต่ถ้าแห้วเป้าหมายที่วางไว้คงต้องหันเหไปคนอื่นในระดับที่รองลงมา
แชมเปี้ยนส์ลีก มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัจจัยเสมอไป แต่การได้ไปมันจะช่วยได้จริง ๆ
การจะกลับไปมีสภาพเหมือนกับช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้ สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือคว้าผู้เล่นระดับท็อปเข้ามาร่วมทีม เป็นนักเตะที่มีคุณภาพสามารถใช้งานได้ทันที
ทราบดีว่ามันเป็นงานหินสุด ๆ ในการหาใครสักคนที่เหมาะสมต่อทีม แต่สโมสรก็ต้องทำสิ่งนี้ให้ได้
ทว่าก่อนจะไปยังจุดนั้น ลิเวอร์พูล ต้องถามหาความคงเส้นคงวาคืนกลับมาให้ได้โดยเร็ว
อย่าเพิ่งถามหาอนาคต เมื่อปัจจุบันยังทำได้ไม่ดีพอ มันสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับปัญหาเกมนอกบ้านที่ชนะคู่แข่งได้เพียง 6 นัดจาก 20 เกมทุกรายการ
ลิเวอร์พูล ล้มเหลวในการฉกโมเมนตัมคืนกลับมาระหว่างฤดูกาลครั้งแล้วครั้งเล่า
เริ่มจากออกสตาร์ทซีซั่นด้วยการไม่ชนะใคร 3 นัดรวด แต่พลิกฟอร์มยิงสะเด่าใส่ บอร์นมัธ 9-0 ทว่าอีก 4 เกมถัดมาชนะคู่แข่งได้นัดเดียว
หรือจะช่วงท้ายปลายปีก่อนที่เก็บ 12 แต้มเต็มตอนเข้าสู่ปีใหม่ แต่พอเปลี่ยนปีปฏิทินเป็น 2023 ประเดิมด้วยการ 2 นัดติดแล้วลากยาวไม่ชนะใคร 4 แมตช์ต่อกัน
แล้วกว่าจะนับหนึ่งในชัยชนะปีนี้ก็เกิดขึ้นตอนวันก่อนวันวาเลนไทน์หนึ่งวัน ซึ่งมีทีท่าว่ากำลังจะกลับมาอีกรอบเมื่อ 5 นัดในลีกไม่แพ้ใครแบบไม่เสียประตู
แต่พลันที่ถล่มคู่อริ แมนฯ ยูไนเต็ด 7 สกอร์ ถัดมาอีก 2 เกมกับ บอร์นมัธ และ เรอัล มาดริด กลับทำประตูไม่ได้เลย
ซึ่ง 3 เกมต่อจากนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้จริง ๆ
ไม่มีใครกล้าคิดอะไรแล้วทั้งนั้น ไม่มีใครกล้ามั่นใจในทีมทีมนี้ตอนนี้
พวกเขาไม่ผิดหรอกที่คิดแบบนั้น เพราะที่ผ่านมาตลอดหลาย ๆ เดือนมานี้
ความรู้สึกมันวนกลับมาที่เดิมครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่มีใครกล้าคิดเป็นอื่นได้แล้วจริง ๆ
HOSSALONSO