ชนะ 7-0 ในศึกแดงเดือด
โกดี้ คักโป กับ ดาร์วิน นูนเยซ ทำคนละ 2 ประตู ไม่เพียงตอกกลับเสียงเยาะเย้ยจากใครก็ตามเท่านั้น แต่มันยังเป็นความหวังเรืองรองสู่อนาคตอีกด้วย
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พังสถิติถล่มประตูในพรีเมียร์ลีกของ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ได้ถูกเกมที่สุดด้วยฟอร์มเหนือดุจเทวดา ยิงสอง จ่ายสอง และเล่นงานเกมรับของทีมปีศาจแดงแบบปล่อยหมัดน็อกทุกหมัด จังหวะพลิ้วโยกหลอก ลิซานโดร มาร์ติเนซ จนเสียหลักหกล้มในครึ่งหลังน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ
เสียงเชียร์ดังถล่มทลายในแอนฟิลด์สมกับที่เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี เดอะค็อปตะเบ็งเสียงคอแตกส่วนทีมรักก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนถึงเกียรติยศที่มีทุกซอกหลืบ เค้นมันออกมาให้หมด
เดินหน้าเอาประตูเพิ่มเติมอย่างเหี้ยมเกรียมในเวลาที่ทีมปีศาจแดงไม่เป็นกระบวน หลังสกอร์ 3-0 ยูไนเต็ดสมาธิแตกกระเจิงไม่เป็นเกมก็ยิ่งฉกฉวยโอกาสลงโทษคู่อริในทุกจังหวะ ไม่มีหยุด ไม่มีผ่อน ได้ประตูที่สี่ก็ยังจะเอาประตูที่ห้า ได้ประตูที่ห้าก็ยังจะเอาประตูที่หก ได้ประตูหกก็ยังจะเอาประตูที่เจ็ด..
ตบปากทุกคำดูถูกถากถางไม่ว่าจะจากฝ่ายไหนที่ว่าเกมนี้ไม่รอดหรอกและการไม่เสียประตู 4 เกมติดต่อกันก่อนหน้านี้ในลีกเป็นแค่ภาพลวงตา.. นักฟุตบอลลิเวอร์พูลก็แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักของตัวเองต่อไป แล้วลงสนามไปตอบคำดูแคลนเหล่านั้นด้วยการยิง 7 ประตูใส่ทีมอันดับสามของตารางและเก็บคลีนชีตเป็นเกมที่ห้าติดต่อกันในลีก
การเข้าทำที่เฉียบขาด รวดเร็ว ดุดัน ประตูที่ได้มาจากทั้งการสร้างเกมรุกเองและอาวุธหนักอย่างการโต้กลับ อีกทั้งโชคก็ยังเหมือนอยู่เคียงข้างบอลขลุกขลิกมาเข้าทางทั้งหมด
เกมรับถูกทดสอบในครึ่งแรก แต่เก็บเรียบในครึ่งหลัง
เพลงแล้วเพลงเล่าที่ตะโกนร้องกันดังกระหึ่มตั้งแต่ต้นจนจบยิ่งขับบรรยากาศแห่งความเป็นผู้ชนะให้อลังการอีกหลายเท่าตัว
สีหน้าดีใจของ เจอร์เก้น คล็อปป์
และรอยยิ้มของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่.. เปลี่ยนตัวลงมายิงปิดท้ายต่อหน้ากองเชียร์ฝั่งเดอะค็อปสแตนด์
ลิเวอร์พูลกำลังจะเดินหน้าสู่เจเนอเรชั่นต่อไป SMF ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ความรุ่งโรจน์กำลังจะหายไปสองจากสาม จาก M-Mane มาถึง F-Firmino และจะเหลือแค่ S-Salah คนเดียว
ข่าวเรื่องฟีร์มีโน่จะอำลาแอนฟิลด์เพิ่งจะมีขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนเตะกับยูไนเต็ด คล้ายเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าลิเวอร์พูลจะเข้าสู่ยุคหลัง SMF เต็มตัวในซีซั่นใหม่ และก็ราวกับจะมีมือวิเศษมาเขียนสคริปต์ให้ การส่งไม้ต่อจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องเกิดขึ้นทันทีในสัปดาห์เดียวกัน ในเกมที่สำคัญที่สุด
ดาร์วิน กับ คักโป รับช่วงต่อจากพี่ด้วยการทำคนละสองประตู ซาลาห์ที่จะยังอยู่เพื่อนำพาทีมต่อไปยิงอีกสองประตู และฟีร์มีโน่ที่กำลังจะจากไปยิงปิดท้าย ไม่มีการส่งไม้ต่อไหนสวยงามและสมบูรณ์แบบไปกว่านี้อีกแล้ว..
นอกจากชัยชนะสวยงามเหนือยูไนเต็ดและผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่องชนะ 4 จาก 5 เกมหลังสุดในลีกโดยไม่เสียประตูเลยแล้ว เรายังสามารถมองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดเจนอีกด้วย
ในระยะสั้น พื้นที่ท็อปโฟร์ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่ตรงหน้านี้แล้ว มองไกลได้ถึงอันดับสามด้วยซ้ำ
หากที่สำคัญยิ่งกว่าคือในระยะยาว เมื่อเราดูจากขุมกำลังของทีม เจเนอเรชั่นต่อไปในเกมรุกของคล็อปป์จะไม่ได้มีแค่สามคนอย่าง SMF แต่จะเป็นห้าคน..
ซาลาห์ ดาร์วิน คักโป หลุยส์ ดิอาซ และ ดีโอโก้ โชต้า จะเป็นชุดที่มีศักยภาพทดแทนกันได้ใกล้เคียงกว่ายุค SMF และมันอาจเพิ่มจากห้าเป็นหกด้วย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่สามารถเล่นได้ทั้งตัวบนและกองกลาง
แล้วซัมเมอร์นี้การปรับขุมกำลังแดนกลางก็คงเกิดขึ้น มันน่าจะเป็นแผนงานที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกหลังพลาดตัว ออเรเลียง ชูอาเมนี่ เป้าหมายอันดับหนึ่งตอนก่อนเปิดซีซั่นว่าแดนกลางชุดลุ้นสี่แชมป์ยังไปได้ จบฤดูกาลค่อยลงตลาดแบบเน้นๆ เฟ้นเลือกมาอย่างดีแล้วอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงโวยวายในช่วงที่ทีมผลงานแย่ว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ คล็อปป์พูดอยู่เสมอว่าเขาก็กำลังพยายามแก้ปัญหาอยู่และต้องใช้เวลาสักหน่อย
เมื่อทุกอย่างที่วางเอาไว้ในช่วงต้นฤดูกาลผิดแผนไป นักเตะตัวหลักเจ็บหลายคน บางคนฟอร์มตก ความมั่นใจสูญหาย เขาก็ต้องแก้ปัญหา นักเตะในทีมก็ต้องทำงานให้หนักขึ้นเพื่อลุยสู้ปัญหาไปด้วยกัน ไม่มีเวลาให้คร่ำครวญ
ห้าเกมหลังสุดในลีกเริ่มมองเห็นผลลัพธ์ของการแก้ปัญหานั้นบ้างแล้ว ชนะ 4 เสมอ 1 แบบไม่เสียประตู สามในห้าคือเกมใหญ่ เจอเอฟเวอร์ตัน เจอนิวคาสเซิ่ล เจอแมนฯ ยูไนเต็ด แถมยังมีเกมกับวูล์ฟแฮมป์ตันที่เพิ่งจะถูกทีมหมาป่าขย้ำมาสามแผลสดๆ
เมื่อนักเตะหลักๆ โดยเฉพาะเกมรุกทั้ง ฟีร์มีโน่ และ โชต้า หายเจ็บกลับมา เมื่อ ดาร์วิน กับ คักโป เริ่มปรับตัวเข้ากับทีมได้มากขึ้น เมื่อแนวรับได้ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อิบราฮิมา โกนาเต้ ฟิตพร้อมอีกครั้ง ทุกอย่างก็ดูดีกว่าเดิม กองกลางที่แบกเสียงด่าจนอ่วมมาตลอดก็เริ่มทำงานได้ง่ายขึ้นเมื่อภาระถูกแบ่งเบากระจายออกไป ฟอร์มที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางขึ้น แถมโบนัสชิ้นใหญ่สถานการณ์ทำให้ได้นักเตะใหม่ชื่อ สเตฟาน ไบจ์เซติช เข้ามาอีกคน
และถ้ายังไม่ทันสังเกตหรือลืมกันไปแล้ว การใช้งานดาร์วินเป็นตัวรุกฝั่งซ้าย กับคักโปเป็นกองหน้าตัวเป้าที่คล็อปป์เคยโดนดูถูกว่าใช้งานนักเตะไม่เป็น ใช้คนไม่ถูกตำแหน่ง มองไม่เห็นว่านักเตะถนัดการเล่นตรงไหน คำตอบก็อยู่ตรงหน้านี้แล้วไง เป็นอีกครั้งที่เขาตอบมันโดยไม่ต้องพูด แต่ใช้ผลงานบอกแทน
ห้าเกมที่ผ่านมากับเอฟเวอร์ตัน (2-0) นิวคาสเซิ่ล (2-0) คริสตัล พาเลซ (0-0) วูล์ฟแฮมป์ตัน (2-0) และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (7-0) ดาร์วินกับคักโปลงตัวจริงคนละ 4 เกม ในตำแหน่งที่ถูกตั้งคำถามทั้งหมด คือดาร์วินยืนซ้าย คักโปยืนฟอลส์ไนน์ (เกมกับพาเลซนูนเญซสำรอง ใช้โชต้าเล่นซ้าย ส่วนเกมกับวูล์ฟแฮมป์ตันคักโปสำรอง ใช้โชต้ายืนหน้าเป้า)
ผลงานที่ออกมาคือ 4 ประตูของคักโป และ 3 ประตู 1 แอสซิสต์ของนูนเญซ
ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ บางคนอาจจะมองว่าถ้าใช้คักโปซ้าย ดาร์วินหน้าเป้าตั้งแต่แรกจะฉลุยยิ่งกว่านี้อีก มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้.. แต่มันก็ยังเป็นแค่คำว่าถ้า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นแล้วคือเรามีคักโปกับดาร์วินที่เล่นในบทบาทที่ได้รับมอบหมายได้ดี
ดาร์วินได้ใช้ความเร็วเป็นประโยชน์จากพื้นที่ที่มี และจะคอยสอดเข้ามาในพื้นที่เข้าทำ คักโปได้ใช้ทักษะและเซนส์ฟุตบอลของตัวเองคอยเชื่อมเกม เป็นตัวแทนในคุณสมบัติฟอลส์ไนน์ของฟีร์มีโน่ ทั้งยังมีประสิทธิภาพในการทำประตู เมื่อเริ่มปรับจังหวะการเล่นและการตัดสินใจสุดท้ายให้นิ่งขึ้น เยือกเย็นขึ้น ผลงานที่ดีก็เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น อาการเตะหลุดในจังหวะชี้เป็นชี้ตายเริ่มหายไป
ถ้าไม่ให้เล่น แล้วเมื่อไหร่จะเล่นได้ ถ้าไม่ให้ลองในสนามจริง แล้วเมื่อไหร่จะประสบผลสำเร็จ เหนือสิ่งอื่นใดมันคือมุมมองจากโค้ชที่เห็นนักเตะของเขาตลอดเวลาในการซ้อม โลกลูกหนังมีโค้ชที่เปลี่ยนและปรับตำแหน่งเดิมของลูกทีมให้กลายเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบขึ้นเยอะแยะไปหมด
และในตอนนี้ ดาร์วินกับคักโปจะสามารถช่วยทีมได้คนละมากกว่า 1 บทบาทอีกต่างหาก
นี่คือคล็อปป์ที่มองไม่เห็นว่านักเตะถนัดเล่นตำแหน่งไหน นี่คือคล็อปป์ที่มองไม่เห็นว่ากองกลางคือปัญหาเหมือนที่คนทั้งโลกเขาเห็นกันหมด นี่คือคล็อปป์ที่ถูกชี้นิ้วสั่งว่าทำไมไม่ทำอย่างนู้นอย่างนี้อย่างนั้น
นี่คือคล็อปป์.. กุนซือที่ใส่ทัศนคติที่ดีลงไปในทีม ทำงานอย่างรอบคอบและละเอียดอ่อนที่สุดเพื่อประโยชน์สูงสุดของทีม แน่นอนมันมีผิดพลาดบ้าง ผิดแผนบ้าง แต่เขาทำให้เห็นทุกคราว่าการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการลงมือทำและแก้ปัญหาไปด้วยกันทั้งทีม ไม่ใช่ชี้นิ้วด่าโยนความผิดให้กัน
หลังเมฆหมอกอึมครึมเริ่มเคลื่อนผ่านไป ลิเวอร์พูลก็กลับมาทำผลงานได้ดีต่อเนื่องที่สุดนับตั้งแต่เปิดฤดูกาล.. ความหวังเริ่มกลับมาอีกครั้ง
แต่ตรงนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ยังเป็นเวลาดื่มด่ำความสุขร่วมกัน
เส้นทางยังอีกยาวไกลครับ ผมรู้ เรารู้ ทุกคนรู้ บั้นปลายจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่อาจตอบได้ เพียงแต่นาทีนี้เราไม่สน เพราะเรายังฉลองกันไม่เสร็จเลย ชนะในศึกแดงเดือดขนาดนี้จะให้สุขแค่วันสองวันได้ยังไง จะบ้าเหรอ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว..
ตังกุย