เบื้องลึกที่กาตาร์จะซื้อผี

มันไม่ใช่เรื่องใหม่

มันไม่ใช่เรื่องควรแปลกประหลาดใจ

ในรอบเดือนที่ผ่านมากระแสข่าวที่ว่าพวกตระกูลเกลเซอร์พร้อมจะเจรจากับกลุ่มทุนจากทั่วโลกที่สนใจเข้ามาเทกโอเวอร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีมาตลอด แน่นอนว่าเพราะนี่คือสโมสรโลโก้อสูรที่เต็มด้วยแรงดึงดูดมหาศาล ถึงราคาจะแพงแต่ก็ย่อมหมายถึงการลงทุนที่หวังผลระยะยาวได้

เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ บุรุษผู้รวยอันดับสองของยูเคเป็นตัวละครแรกๆที่ถูกจับโยง เขาผู้นี้คือแฟนบอลปีศาจตัวยงโดยเคยอยากได้เชลซีมาแล้วตอนที่โรมัน อบราโมวิชโดนเนรเทศให้ออกประเทศ อย่างไรก็ตามที่ดูน่าสนใจ น่าตื่นเต้นและน่าเฝ้าติดตามกว่าย่อมเป็นสายตาบางคู่ที่ชำเลืองมองเข้ามาจากชาติเล็กๆแถบตะวันออกกลาง

พูดถึงกาตาร์แล้วทุกคนก็ต้องนึกถึงเจ้าภาพฟุตบอลโลกหนล่าสุด

พูดถึงกาตาร์แล้วอีกบางคนก็ย่อมวาดภาพตามได้ว่าก็ประเทศที่มีดินแดนเกินครึ่งเต็มด้วยทะเลทรายแต่โชคดีที่ถีบตัวเองขึ้นมาได้จากน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ

กลางเดือนที่แล้วในงานเลี้ยงภายในสนามของเปแอสเชที่จัดขึ้นประจำปี ก็เป็นนาสเซอร์ อัล-เคไลฟี่ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานได้กล่าวเปิดตัดริบบิ้น สิ่งที่เขาได้ย้ำให้พนักงานก็เป็นความสำเร็จตลอดเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันภายใต้เจ้าของกาตาร์ เขายังมั่นใจว่ารากฐานที่ได้ปูมาก็จะต่อยอดพาทีมไปสู่อีกระดับได้ นอกจากนั้นก็ยังได้เอ่ยถึงยอดคนติดตามในTikTokที่เกิน30ล้านไปแล้ว ทุกอย่างได้สะท้อนถึงสถานะของแชมเปี้ยนฝรั่งเศสในปัจจุบัน

"ทุกอย่างที่เรากำลังทำเกิดจากความยอดเยี่ยมของทุกฝ่าย จงจำไว้ว่าสโมสรแห่งนี้เป็นของพวกคุณทุกคนและทุกคนก็เป็นตัวแทนของPSGซึ่งผมต้องการไอเดียใหม่ๆ ต้องการทีมสปิริต ต้องการทีมเวิร์ก จะไม่มีอีโก้ในการทำงาน จงภูมิใจในสโมสรของเรา แม้แต่นัดชิงเวิล์ด คัพก็เป็นนัดชิงของเปแอสเชไปด้วย"

การที่อัล-เคไลฟี่อ้างอย่างนั้นว่า'นัดชิงเวิล์ด คัพก็เป็นนัดชิงของเปแอสเช'ก็มาจากว่าจัดขึ้นในดินแดนของกาตาร์รวมถึงเป็นคู่ชิงที่มีสองซูเปอร์สตาร์ของทีมลงฟาดฟัดกัน ฝ่ายหนึ่งนำโดยลิโอเนล เมสซี่ อีกฝั่งได้แก่คิเลี่ยน เอ็มบั๊ปเป้

ตลอดหนึ่งเดือนดังกล่าวก็ยังพบชายวัย49ตื่นแต่เช้าไปไล่กวดลูกหนังกับพวกอดีตตำนานฟุตบอลที่มารับจ็อบให้'beIN'ซึ่งก็เป็นสถานีทีวีที่เขาเองก็เป็นบอสใหญ่ พอตกบ่ายก็เข้าไปประชุมงาน หากสิ่งที่ดูเหมือนว่าปกติ ไม่ได้มีอะไรก็ซ่อนไว้ถึงเมกกะโปรเจกต์เอาไว้ นั่นก็คือเข้าไปมีบทบาทในลีกขวัญใจของมหาชน-พรีเมียร์ลีก

จุดเริ่มต้นไม่ได้มีอะไรเกินกว่าคำสั้นๆสี่พยางค์...ทะเยอทะยาน

ก็เช่นเดียวกับที่กาตาร์ทำให้ทุกคนต้องตะลึงว่าชาติที่มีประชากรไม่ถึงสามล้านคนดีสามารถเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกได้

ต่อมาก็การที่โดนพวกยุโรปตะวันตกรุมประนามเกี่ยวกับความไม่ชอบธรรมตั้งแต่ใช้เงินซื้อเสียงจากฟีฟ่า การที่มีคนงานตายในระหว่างการสร้างสนาม เรื่องของLGBTQและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ก็ยิ่งเหมือนเชื้อเพลิงที่ทำให้ทามิม บิน ฮาหมัด อัล ธานี ประมุขของกาตาร์สั่งให้ตบเกียร์เดินหน้าขยายอิทธิพลออกไป แน่นอนว่าก็จะไม่มีอะไรที่ท้าทายไปกว่าพรีเมียร์ลีก

ดังนั้นการที่ตระกูลเกลเซอร์นำโดยโจเอลมีความคิดที่จะปลดเปลื้องพันธนาการของตัวเองก็จึงทำให้ทางอัล-เคไลฟี่ได้ส่งสัญญาณไปหาในทันทีว่ากลุ่มทุนของกาตาร์(Qatar Sports Investments)สนใจอยากเจรจาด้วย

กระนั้นก็ตามก็มีแหล่งข่าวน่าเชื่อถือยืนยันว่าพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะขายเปแอสเชออกไปในเร็ววันนี้ อย่างหนึ่งมันเป็นความเสียดายเพราะนับจากเข้าบริหารในปี2012ก็เปลี่ยนแปลงสโมสรดังของเมืองหลวงฝรั่งเศสให้ขึ้นมาอยู่แถวหน้าของยุโรป จากมูลค่าที่เคยซื้อราว60ล้านปอนด์ก็กลายว่ามีราคาในปัจจุบัน4พันล้านไปแล้ว เอาแค่เฉพาะการซื้อนักเตะเข้ามาก็แตะหลัก1.5พันล้านปอนด์

ยิ่งพิจารณาจากงานเลี้ยงตอนกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาซึ่งตัวอัล-เคไลฟี่เองได้พูดถึงเป้าหมายอนาคตของสโมสรก็จึงมั่นใจได้ว่ายังไงซะก็ยังจะไม่ไปไหน 

ยังไงก็ดีความเป็นไปได้ก็อาจจะขายหุ้นส่วนหนึ่งออกไปโดยเล็งตลาดไว้ที่สหรัฐอเมริกาเพราะในปี2026นี้เวิล์ด คัพจะต้องไปจัดที่อเมริการ่วมกับแคนาดาและเม็กซิโก

คำถามตอนนี้ที่หลายคนอยากรู้คำตอบก็เป็นกลุ่มทุนกาตาร์จะใช้วิธีการใดถ้าอยากมาเทกโอเวอร์แมนฯยูไนเต็ดจริง ตามกฎของยูฟ่าได้ระบุไว้ว่าจะไม่ยินยอมให้สองสโมสรมีเจ้าของที่ถือหุ้นใหญ่เจ้าเดียวกันเข้ามาแข่งรายการเดียวกัน

ในเมื่อทั้งปารีสกับปีศาจแดงย่อมมีโอกาสมาเจอกันในแชมเปี้ยนส์ลีก

ก่อนอื่นต้องลงลึกถึงรายละเอียดเพิ่มว่ากาตาร์เองมีเงินเหลือใช้ที่อยากเอามาลงทุนในส่วนของกีฬาโดยเฉพาะเกมลูกหนัง ปลายปี2022ก็เจียดเศษเงิน80ล้านเข้าถือหุ้น22เปอร์เซนต์ในทีมบราก้าของโปรตุเกสไปเรียบร้อย

ด้านของภาพลักษณ์ก็ด้วยที่ทำให้ประมุขของประเทศออกคำสั่งเองว่า"พวกเราต้องแสดงถึงศักยภาพให้ชาวโลกประจักษ์"

ขณะเดียวกันปัญหาการเมืองทำให้กาตาร์เคยเจอปิดพรมแดนมาแล้วจากเหล่าเพื่อนบ้านจนมาเคลียร์กันได้ตอนต้นปี2021

ทางออกที่ทางอัล-เคไลฟี่ได้คิดเอาไว้ก็คือจะไปแค่ซื้อหุ้นส่วนหนึ่งเท่านั้นเพื่อหลีกเหลี่ยงกฎจากยูฟ่า สิ่งนี้อธิบายได้ว่าหุ้นนั้นจะไม่ใช่การถือหุ้นใหญ่ ย้อนไปก่อนนี้ก็เคยมีการพูดคุยเรื่องนี้กับแดเนี่ยล เลวี่ ประธานของสเปอร์สมาแล้ว 

ประเด็นหลักก็คือกาตาร์สนใจจะไปถือหุ้น15%ของสโมสรตราไก่ 

ยูฟ่าทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นแค่หุ้นเล็กๆและตัวอัล-เคไลฟี่ก็ไม่มีอำนาจพอที่จะนั่งเก้าอี้บิ๊กบอสแทนเลวี่ ทว่ามันเป็นการเข้าจับมือเพื่อถางหญ้าไปสู่เป้าหมายในระยะยาว นั่นเองนี่ก็จะเป็นไอเดียวกับที่พวกเขาได้ให้ความสนใจในสโมสรที่ชื่อแมนฯยูไนเต็ด

เหตุผลที่กาตาร์หยุดเจรจาต่อกับสเปอร์สก็เพราะว่าโดนเรียกราคาในระดับเดียวกับเชลซี(เลวี่เป็นนักธุรกิจที่เขี้ยวลากดินอยู่แล้ว)

ถูกที่ว่าหลายสโมสรก็อยากได้เงินทุนจากอาหรับเข้ามาเพราะพวกนี้ใจถึงพึ่งได้ ยิ่งพอเห็นซาอุฯเข้าไปโอบอุ้มนิวคาสเซิ่ลจนทำให้ผลงานดีวันดีคืนด้วย วิสัยทัศน์นักบริหารก็อ่านออกว่าหากยังนิ่งเฉยหรือว่าไม่มีการลงทุนใดๆก็มีโอกาสจะโดนทิ้งห่างในไม่ช้านี้

อีกไอเดียที่กลุ่มทุนกาตาร์ได้คิดเอาไว้ก็เป็นการวางโครงสร้างให้เหมาะสมกับเปแอสเช ข้อนี้หมายถึงว่าทำยังไงก็ได้ให้หลีกเลี่ยงกฎจากยูฟ่าที่ห้ามเจ้าของถือหุ้นใหญ่สองสโมสรแข่งเวทีเดียวกัน

เรื่องของเงินไม่ใช่ปัญหา ตัวเลขที่มีการประเมินมูลค่าของทีมผีแดงในหลัก5พันล้านก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของอัล-เคไลฟี่แต่อย่างใด ทว่าอุปสรรคอยู่ที่จะทำยังไงเพื่อสามารถ'จับปลาสองมือ'ไ้ด้

"นี่เป็นเรื่องของการตัดสินใจทางธุรกิจซึ่งกีฬาก็เป็นตัวดึงดูดสำคัญในยุคนี้ มันทำให้คนหันมาสนใจได้ไม่ยาก นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยากลงทุน"คำพูดจากซีอีโอกลุ่มทุนกาตาร์

สำหรับอีกสโมสรอย่างลิเวอร์พูลที่ก็มีข่าวประปรายว่าเจ้าของอเมริกันก็อยากขายทีมนั้น เรื่องนี้มีมูลที่จริงแต่กับกาตาร์นั้นยังเป็นข่าวลือที่ไม่มีน้ำหนักเท่าคู่อริ

ถ้าถามผมว่าโอกาสมีแค่ไหนที่เราจะได้เห็นกาตาร์เข้ามามีบทบาทในพรีเมียร์ลีกโดยเฉพาะกับแมนฯยูไนเต็ด?

คำตอบก็ง่ายมาก เราก็เห็นแล้วว่าพวกเขายังจัดฟุตบอลโลกได้เลย...

"ไก่ป่า"