ความน่ากลัวขั้นสุดของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คืออะไรที่กำลังเป็นอยู่นี่ล่ะครับ การติดเครื่องของ เออร์ลิง ฮาลันด์ และการทำงานของฟันเฟืองตัวเปิดป้อนคนอื่นๆ อย่าง เควิน เดอบรอยน์ ฟิล โฟเด้น แบร์นาร์โด้ ซิลวา อิลคาย กุนโดกัน
ความสมบูรณ์ที่เหลือของซิตี้ในตอนนี้อาจจะคือการรอฟอร์มของ แจ๊ค กรีลิช ริยาด มาห์เรซ ฮูเลียน อัลวาเรซ รวมไปถึงเกมรับที่ขันแน่นขึ้น
ถ้าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทีมเรือใบสีฟ้าก็จะยิ่งไร้เทียมทานมากขึ้นไปอีก
เพราะซิตี้ในเวลานี้ไม่เพียงแต่เก่งอย่างเดียวแต่ยังมีหัวใจของผู้ชนะเต็มเปี่ยม การตามหลังสองประตูไม่ได้มีผลกระทบต่อสภาพจิตใจอันหนักแน่นเลย
ไม่มีปั่นป่วน ไม่มีลนลาน ไม่มีรวน
แม้กระทั่งในสภาวะที่กดดันที่สุด แฟนบอลก็ยังได้เห็นการเอาตัวรอดกลับมาอย่างมีสไตล์ จะว่าไปในรอบทศวรรษที่ผ่านมาสาวกเรือใบสีฟ้าเองก็ได้ภาคภูมิใจกับเกมดราม่าลักษณะนี้ของทีมรักอยู่บ่อยๆ
หลายเกมที่พวกเขาไม่ได้ชนะสบายๆ อย่างที่คิด ที่ต้องสู้ชีวิตก็มีให้เห็นไม่น้อย
ตั้งแต่ประตูของ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2011/12 ผ่านเกมบีบหัวใจและประตูในวินาทีชี้เป็นชี้ตายอีกมากมายมาจนถึงแฮตทริกของฮาลันด์เมื่อวันเสาร์ที่ซิตี้แสดงให้เราได้เห็นว่าพวกเขาคือแชมเปี้ยนตัวจริง
การนำทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สองประตูไม่ใช่เรื่องที่คุณจะวางใจได้เลย กระทั่งตั้งหลักพยายามเล่นอย่างมีสมาธิที่สุด คุณยังอาจกลับมาเป็นฝ่ายปราชัยหลังจบเกม
ลองดูความน่าหวาดหวั่นของพวกเขาในตอนนี้ การปรับเปลี่ยนเกมเพื่อหมายเลข 9 โดยธรรมชาติเริ่มลงตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว การสอดประสานส่งรับบอลกันระหว่างตัวจ่ายและตัวจบเริ่มสมบูรณ์เข้าขากันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น
ความแน่นอนในการส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่าย การหาพื้นที่ว่างเข้าไปพังประตู แรงปะทะที่แข็งแกร่ง ความเร็วอันจัดจ้าน เท้าซ้ายสุดฉมัง การโหม่งทำประตูที่มีประสิทธิภาพ ฮาลันด์ได้แสดงมันออกมาครบถ้วนให้เราได้เห็นยิ่งกว่าเดิม
จังหวะทำประตูที่ยังดูขาดๆ เกินๆ ไปบ้างในช่วงแรกอย่างเกมปรีซีซั่นและคอมมิวนิตี้ ชิลด์ เริ่มถูกขัดเกลาให้แหลมคมอย่างครั้งที่ยิงระเบิดในบุนเดสลีกา สลัดความรีบร้อนออกไป แลกกลับมาด้วยการจบสกอร์อันเยือกเย็น นิ่งและเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งสำคัญยังเป็นเรื่องการเล่นกับเพื่อน
ในเกมล่าสุดที่แซงชนะ คริสตัล พาเลซ เควิน เดอบรอยน์ ไม่ได้แอสซิสต์ให้ฮาลันด์ทำประตูเลยแม้แต่ลูกเดียว แต่ดาวยิงคนใหม่ก็ยังซัดแฮตทริกได้จากการผ่านให้ของ โฟเด้น จอห์น สโตนส์ และ กุนโดกัน
เดอบรอยน์ไม่ได้จ่าย แต่ทำไมยิ่งรู้สึกว่าซิตี้น่ากลัวขึ้นไปอีก เพราะกระทั่งเพลย์เมกเกอร์เบลเจี้ยนไม่ได้ส่งให้ยิง แต่ฮาลันด์ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนคนอื่นๆ ในการทำประตูไม่ขาดสาย
สามประตูของเขาในเกมกับพาเลซ กองหลังส่งให้หนึ่ง กองกลางส่งให้หนึ่ง กองหน้าส่งให้อีกหนึ่ง
ซีซั่นแรกของฮาลันด์กับพรีเมียร์ลีกจะลงเอยอย่างไรคงเร็วเกินไปที่จะตอบได้นะครับ ฟุตบอลลีกต้องดูกันระยะยาว เพียงแต่คำตอบที่เราจะได้รับหนีไม่พ้นสามคำตอบนี้
แผ่วลงไปกว่าเดิม
ดีประมาณเดิม
หรือ ดียิ่งกว่าเดิม
อยู่ที่ว่าหวยจะไปออกที่ข้อไหน
ผลงานในปัจจุบัน ผ่านไป 4 เกม ฮาลันด์ยิงได้ 3 เกมรวม 6 ประตู ถ้าคิดแบบกำปั้นทุบดินใช้บัญญัติไตรยางค์ห้วนๆ จบฤดูกาล 38 นัดเขาจะยิงได้ 29 เกมด้วยจำนวน 57 ประตู
อย่าเก็บไปคิดเป็นจริงเป็นจังอะไรมากนะครับ แค่คำนวนเล่นๆ เฉยๆ โอกาสที่จะมีนักเตะคนไหนยิง 57 ประตูในฤดูกาลเดียวมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
ว่ากันตามตรงมันคงไม่เกิดขึ้นหรอก แต่หลายคนที่บ่นอุบว่าแค่เริ่มต้นมันยังขนาดนี้ แล้วถ้าติดเครื่องเต็มรูปแบบมันจะขนาดไหนก็คงจะอยากเห็นว่าเขาจะไปได้สุดที่ตรงไหนในซีซั่นเปิดตัวกับลีกอังกฤษ
ก่อนเปิดฤดูกาลผมคิดว่าฮาลันด์น่าจะมีสัก 25 ประตูในลีกครับ มาถึงตรงนี้ดูเหมือนว่า 25 ประตูอาจจะเอาไม่อยู่เสียแล้วเพราะกำลังสนับสนุนของเขาครบมือดีเหลือเกิน ถ้าให้ทายใหม่อาจจะต้องว่าด้วยสถิติพรีเมียร์ลีก 32 ประตูของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ นู่นเลย
ในยุคพรีเมียร์ลีก ไม่มีใครยิงได้เกิน 32 ประตูมาก่อนถ้าเตะกันในระบบ 38 เกม แอนดี้ โคล กับ อลัน เชียเรอร์ เคยทำได้ 34 ประตูแต่เป็นในระบบ 42 นัด
เพียงแค่ 4 เกม ฮาลันด์ก็ท้าทายสถิติพรีเมียร์ลีกของซาลาห์เสียแล้ว อาจจะดูเหมือนเร็วเกินไปนะครับที่จะคุยถึงเรื่องนี้ แต่มันก็น่าพูดถึงจริงๆ นั่นแหละเพราะเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามันไม่น่าจะเป็นแค่การระเบิดฟอร์มฉาบฉวย หากมันคือคุณสมบัติที่มีองค์ประกอบครบถ้วน
จอมถล่มประตูที่มีการสร้างสรรค์ของยอดนักเตะมากมายอยู่เบื้องหลัง ภายใต้โค้ชที่ดีที่สุดคนหนึ่งของวงการ..
4 นัด 6 ประตู เท้าบอดแค่เกมเดียว ดูเหมือน เออร์ลิง ฮาลันด์ จะรีบนะครับ
รีบปรับตัว รีบปลดล็อก รีบสร้างปรากฏการณ์
ไม่มีสโลว์ไลฟ์ ไม่มีเพลินๆ ชิลล์ๆ ไม่มีถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง
สตาร์ตเครื่องปุ๊บก็เหยียบมิดเลย นี่เอ็งจะรีบไปไหนไอ้น้องเอ๊ยยย..
ตังกุย