แชมป์เก่าลิเวอร์พูล ต้องยุติเส้นทางการป้องกันแชมป์คาราบาว คัพ เอาไว้ที่รอบ 4 หลังจากพวกเขาออกไปพ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-3 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา แมตช์นี้ต้องยอมรับว่า "หงส์แดง" ทำผลงานเป็นรอง "เรือใบสีฟ้า" โดยเฉพาะจังหวะการจบสกอร์ ขณะเดียวกันเกมรับของทีมค่อนข้างเล่นได้น่าผิดหวัง สวนทางกับเกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ที่ยังคงความดุดัน และเฉียบคม ส่วน ดาร์วิน นูนเญซ คงต้องไปปรับเรื่องความมั่นใจให้มากกว่านี้ ไม่งั้นชีวิตในถิ่นแอนฟิลด์ของเขาคงยากจะแจ้งเกิดแน่นอน
1. คิดถึง ฟาน ไดค์ ใจแทบขาด
เป็นที่เข้าใจอยู่แล้วว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยังได้รับอนุญาตให้พักผ่อนหลังกรำศึกหนักให้กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ด้วยเหตุนี้ คล็อปป์ จึงจำเป็นต้องใช้งาน โฌเอล มาติป กับ โจ โกเมซ ซึ่งทั้งสองคนก็ได้ลงสนามร่วมกันในช่วงอุ่นเครื่องระหว่างเวิลด์ คัพ
ผลงานของทั้งคู่น่าผิดหวังจริงๆ โดยจังหวะเสียประตูแรก โกเมซ ก็มัวแต่ยืนเหม่อไม่เช็คว่ามี เออร์ลิง ฮาลันด์ อยู่ข้างหลัง และโดนวิ่งแซงหน้าตะบันประตูแบบสบายๆ ยังไม่หมดแค่นั้น ดาวเตะเลือดผู้ดี ยังยืนตำแหน่งสะเปะสะปะจนทำให้ทีมเกือบเสียประตูที่สอง
ขณะที่ มาติป ก็กะจังหวะการสกัดลูกโด่งไม่ค่อยดี แต่อย่างน้อยยังมีจุดเด่นในจังหวะการส่งบอล เพราะประตูตีเสมอก็เริ่มมาจากการผ่านบอลที่แม่นยำของเขา
อีกจุดที่ "หงส์แดง" คิดถึง ฟาน ไดค์ ก็คือการสั่งการในแนวรับ เพราะวันนี้เห็นได้ชัดว่าแบ็กโฟร์ของทีมเช็คล้ำหน้าผิดพลาดเยอะมาก และการยืนตำแหน่งก็ผิดพลาดในการป้องกันลูกโด่ง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ สาวก "เดอะ ค็อป" คิดถึง ฟาน ไดค์
2. เคลเลเฮอร์ นับวันยิ่งพัฒนา
การลงเฝ้าเสาในศึกคาราบาว คัพ เป็นเรื่องปกติที่ คล็อปป์ จะใช้งาน ควีวิน เคลเลเฮอร์ ในฐานะตัวจริง และนักเตะก็ทำผลงานได้ดีมากๆ มาตลอด แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือพัฒนาของเขาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จะเห็นได้ว่าในช่วงครึ่งแรก เคลเลเฮอร์ มีส่วนสำคัญในการช่วยเซฟ "หงส์แดง" ไม่ให้โดนนำห่างหลายประตู เพราะสองจังหวะที่เขาป้องกันถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ นั่นแสดงให้เห็นถึงความนิ่ง และความว่องไวของเจ้าตัว
เรื่องการตัดสินใจ และการออกมาตัดบอลจังหวะห้าสิบห้าสิบถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ แต่สามประตูที่เสียไปต้องบอกว่า นายทวารชาวไอริช หมดปัญญาที่จะป้องกันจริงๆ
ฉะนั้นในฤดูกาลนี้ เคลเลเฮอร์ อาจยังต้องอยู่ใต้ร่มเงาของ อลีสซง เบ็คเกอร์ แต่ในซีซั่นหน้าเชื่อว่า "ลูกหมี" วัย 24 ปี พร้อมที่จะเบียดแย่งตำแหน่งจาก "พ่อหมี" แน่นอน
3. แมนฯ ซิตี้ เอาจริง-ลิเวอร์พูลต้องเสริมทัพ
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดไลน์อัพที่ค่อนข้างดุดันเลยทีเดียว นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาจริงจังกับการแข่งขันรายการนี้ และยังเป็นการเตรียมความพร้อม หลังจากที่นักเตะหลายคนเพิ่งจะกลับมาจากการรับใช้ชาติในศึกเวิลด์ คัพ ฉบับตะวันออกกลาง
"เรือใบสีฟ้า" ส่ง เควิน เดอ บรอยน์ ลงทำหน้าที่เป็นจอมทัพในแดนกลาง และ อิลคาย กุนโดกัน รวมทั้ง ริยาด มาห์เรซ พร้อมทั้ง ฮาลันด์ ลงกระซวกในแดนหน้า ขณะที่แนวรับใช้ อายเมริค ลาปอร์กต์ กับ มานูเอล อาคันยี่ ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า เป๊ป ต้องการหักปีก "หงส์แดง"
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ต้องบอกเลยว่าไลน์อัพยังเป็นรองหลายขุม แถมแนวทางการเล่นก็ค่อนข้างสะเปะสะปะไม่สามารถต่อเกมได้เลย ส่วนการขุมกำลังสำรองไม่สามารถทดแทนตัวหลักได้
งานนี้แฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" คงเรียกร้องให้ คล็อปป์ กระโดดเข้าสู่ตลาดพ่อค้าแข้งฤดูหนาวที่กำลังจะเปิดในวันปีใหม่ เพราะตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจำเป็นต้องเสริมทัพตั้งแต่กองหลัง, กองกลาง ไปจนถึงกองหน้าเลยทีเดียว
4. นูนเญซ ต้องพัฒนาเรื่องความเฉียบคมและความมั่นใจ
ต้องบอกเลยว่าฟอร์มการเล่นของ ดาร์วิน นูนเญซ ในเกมนี้ค่อนข้างน่าผิดหวัง เพราะนักเตะมีโอกาสที่จะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายแบบจะๆ ถึงสองครั้งแต่ดันยิงออกข้างแบบไม่มีลุ้น
ครึ่งแรกหัวหอกชาวอุรุกวัย ได้ตะบันแบบโล่งๆ แต่ดันซัดออกเสาไกล ขณะที่ครึ่งหลังเจ้าตัวมีโอกาสหลุดเดียวเหมือนกับตอนแรก และก็ซัดออกไปแบบไม่มีลุ้นเช่นเดิม
สิ่งนี้เป็นการบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า นูนเญซ ยังต้องปรับเรื่องความมั่นใจและความเฉียบคมให้มากกว่านี้ เพราะหากเป็นกองหน้าที่มีความเชื่อมั่นการได้โอกาสแบบนี้ต้องทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน อย่างน้อยๆ ก็ตะบันให้โกลเซฟก็ยังดี ไม่ใช่ซัดออกข้างแบบไม่มีลุ้นเลย
อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชอบ นูนเญซ ก็คือเรื่องสปีดความเร็ว เพราะประตูที่ตีเสมอ 2-2 เจ้าตัวแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาว่องไวมากแค่ไหน ฉะนั้นหาก คล็อปป์ จับนักเตะไปยืนเป็นแนวรุกฝั่งซ้าย น่าจะมีอนาคตมากกว่าการยืนเป็นหน้าเป้า
5. คล็อปป์ ต้องปรับจูนทีมอีกเยอะ
การพลาดป้องกันแชมป์คาราบาว คัพ อาจจะเป็นเรื่องน่าผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรต้องฟูมฟาย เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือการเตรียมความพร้อมของทีมในการรับมือช่วงโปรแกรมหฤโหดตั้งแต่สัปดาห์หน้าลากยาวไปจนถึงสุดสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2023
แมตช์นี้ "หงส์แดง" เล่นได้น่าผิดหวังมากๆ ตั้งแต่เกมรับที่ยืนผิดตำแหน่งหลายครั้ง และนำไปสู่การเสียประตู การผ่านบอลที่ขาดความแม่นยำ และจังหวะการเช็คล้ำหน้าที่ผิดพลาด ขณะที่แดนกลางไม่สามารถรับมือกับความแข็งแกร่งของ "เรือใบสีฟ้า" ได้เลย
หากจะอ้างว่านักเตะคีย์แมนของทีมไม่ได้ลงสนามตั้งแต่ต้นเกมก็อ้างไม่ได้เต็มปาก เพราะตอนแรก "หงส์แดง" มีทั้ง ติอาโก้ อัลกันทาร่า และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ส่วน สเตฟาน บายเซติช ยังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกเยอะ ส่วนครึ่งหลังส่ง อเล็กซ์ อ็อดซ์เลด-แชมเบอร์เลน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ฟาบินโญ่ ลงมาก็ไม่ได้ช่วยทำให้เกมดีขึ้น
ขณะที่แดนหน้า นูนเญซ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังเล่นไม่เข้าขากัน แม้จะมีการประสานงานในจังหวะที่ตีเสมอ 2-2 แต่ภาพรวมทั้งหมดยังถือว่าไม่ได้มาตรฐาน ขณะที่ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ดูหรูหวาในช่วงต้นเกม หลังจากนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ
งานนี้เชื่อว่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงอยากให้ ดีโอโก้ โชต้า รีบหายเจ็บกลับมาช่วยทีมด่วน เพราะจะหากความหวังในการยิงประตูไว้กับ นูนเญซ คงมีแต่เศร้ากับช้ำ !!
ถ้าสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ยังเป็นแบบนี้ต่อไป งานนี้แฟนบอล "หงส์แดง" คงต้องลองเปิดใจดูถ่ายทอดสดการแข่งขัน ยูโรปา ลีก ในซีซั่นนี้เอาไว้บ้าง เพราะมีแววที่พวกเขาจะหลุดท็อปโฟร์หลังจบฤดูกาลนี้
ทอมเม้ง