ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จพาตัวเองเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย คาราบาวคัพ ได้ตามความคาดหมาย แม้จะต้องออกแรงเหนื่อยหนักไม่ใช่เล่นในเกมบุกมาเยือน ฟูแล่ม สำหรับรอบรองชนะเลิศนัดสองที่สนาม คราเวน คอตเทจ เมื่อวันพุธที่ 24 ม.ค.ซึ่ง หลุยส์ ดิอาซ ตะบันให้ หงส์แดง บุกมานำตั้งแต่ต้นเกม และแม้ อิสซ่า ดิย็อป จะทวงคืนให้ เจ้าสัวน้อย ได้ในนาทีที่ 77 แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้สโมสรจากลอนดอนพลิกสถานการณ์โดยทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เป็นฝ่ายกำชัยไปด้วยสกอร์รวม 3-2 ได้เข้าไปชิงดำกับ เชลซี ที่คว่ำ มิดเดิ้ลสโบรช์ ในรอบตัดเชือกอีกคู่ได้อย่างไม่ยากลำบาก
1. เจ้าสัวน้อยปรับจุดเดียวจากเกมแรก
ฟูแล่ม มีการเปลี่ยนนักเตะ 11 คนแรกจากสองสัปดาห์ก่อนที่บุกไปแพ้ ลิเวอร์พูล 2-1 ที่สนาม แอนฟิลด์ แค่รายเดียวเท่านั้น
มาร์โก ซิลวา กุนซือโปรตุกีสเลือกใช้งาน ทอม เคียร์นีย์ ให้ลงสนามแทน แฮร์ริสัน รีด พร้อมทั้งมอบหน้าที่กัปตันเกมนี้ให้กองกลางเลือดวิสกี้รับผิดชอบด้วย
อย่างไรก็ดี หากจะเทียบกับเกม พรีเมียร์ลีก ที่ออกไปแพ้ เชลซี 1-0 เจ้าบ้านเปลี่ยนผู้เล่นสองรายโดยที่ บ๊อบบี้ เด คอร์โดวา รีด กับ ทิโมธีย์ กาสตาญ ได้ลงสนามแทน แฮร์รี่ วิลสัน กับ เคนนี่ เตเต้
2. ลิเวอร์พูล ได้ ร็อบโบ้ นั่งสำรอง
ลิเวอร์พูล ปรับทีมสี่ตำแหน่ง และได้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็คซ้ายที่เจ็บไปตั้งแต่เดือนต.ค.กลับมานั่งเป็นตัวสำรอง
หลังพาทีมออกไปถล่ม บอร์นมัธ 4-0 จ่าฝูง พรีเมียร์ลีก สลับให้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ กลับมาเฝ้าเสาในรายการนี้แทนที่ อลิสซง เป็นการลงสนามนัดที่ 11 ในซีซั่นนี้ของมือกาวทีมชาติ ไอร์แลนด์
ขณะที่อีกสามตำแหน่ง จาเรลล์ ควานซาห์ , โคกี้ กัคโป และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ได้ลงบู๊ก่อนหน้า เคอร์ติส โจนส์ , ดีโอโก้ โชต้า และ อิบราฮิม่า โกนาเต้
สำหรับ โรเบิร์ตสัน มีลุ้นลงสนามเป็นเกมแรกนับตั้งแต่ผ่าไหล่ซึ่งทำให้เขาหายหน้าไปนาน 13 สัปดาห์
3. พลาดทีเดียวเป็นเรื่อง
ลิเวอร์พูล ในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังใช้แผนจู่โจมเร็วตั้งแต่ต้นเกมเหมือนเคยหมายทำประตูแรกขึ้นนำให้ได้เร็วที่สุดเพื่อชิงความได้เปรียบก่อน และประสบความสำเร็จตั้งแต่นาทีที่ 11 จากฝีเท้าของ หลุยส์ ดิอาซ แม้ก่อนที่ตาข่ายจะทะลุ ฟูแล่ม เริ่มตั้งลำทำเกมรุกตอบโต้ได้บ้างแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทุกทีมต้องท่องจำให้ขึ้นใจในเกมบู๊กับ หงส์แดง คือพวกเขาห้ามก่อความผิดพลาดแม้แต่น้อยเนื่องจากโอกาสเพียงครั้งเดียวที่ ลิเวอร์พูล มี พวกเขาสามารถเปลี่ยนให้เป็นประตูได้ดังจะเห็นว่าการโขกสกัดบอลโด่งพลาดของ กาสตาญ เปิดทางให้ ดิอาซ ได้เกี่ยวบอลทางกราบซ้ายไปซัดเสียบเสาแรกพาทีมเยือนนำ 1-0 ทั้งๆที่จะว่าไปแล้วเกมใน 45 นาทีแรกที่ คราเวน คอตเทจ ผู้มาเยือนไม่ถึงกับหาจังหวะทำเสียวได้มากมายนัก แม้พวกเขาจะยังร่างเพลงเตะกันได้ดีตามมาตรฐานก็ตาม
จากสถิติที่ปรากฏหลังจบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ครองบอลได้มากกว่า 54:46% และได้ยิง 5 ครั้งเข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่ เจ้าสัวน้อย มีลุ้น 3 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้ 2 ครั้ง
อย่างไรก็ดี หลังพังประตูให้ เร้ด แมชีน ออกนำ ดิอาซ ก็มีชื่อทำสกอร์ได้ครบทุกรายการในซีซั่นนี้ที่เขาถูกส่งลงสนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
4. หงส์แดงก็หัวหมุนได้
กลับมาเล่นกันต่อในครึ่งหลัง รูปเกมเป็นเหมือนที่เราได้เห็นกันบ่อยครั้งนั่นคือกุนซือชาวเมืองเบียร์สั่งให้นักเตะ เร้ด แมชีน เพิ่มสปีดในการทำเกมรุกบดขยี้คู่แข่งหนักขึ้นอีก และกดดัน ฟูแล่ม ได้มากขึ้นอย่างชัดเจน
กระนั้นก็ดี ลูกทีมของ ซิลวา รับมือกันได้อย่างน่ายกย่อง และในที่สุดนาทีที่ 77 สาวก เจ้าสัวน้อย ก็ได้เฮกันลั่นจากจังหวะที่ อิสซ่า ดิย็อป ปราดเข้าฮอสจิ้มบอลยาวจากกราบซ้ายผ่าน เคลเลเฮอร์ เข้าประตูจนได้ ส่งผลให้เจ้าบ้านตีเสมอเป็น 1-1 แม้สกอร์รวมจะยังเป็นรองก็ตาม
แต่ที่แน่ๆ นับจากนั้น เกมบุกของทีมเมืองหลวงก็มีชีวิตชีวามากขึ้น และหาทางสร้างปัญหาให้กับผู้มาเยือนได้อย่างต่อเนื่อง ขาดก็แค่ประตูที่สองของเกมซึ่งทำให้พวกเขาหมดสิทธิ์ตบเท้าเข้าสู่ เวมบลีย์ แต่อย่างน้อยเกมใน 45 นาทีหลังฟ้องให้เห็นว่า ฟูแล่ม ไม่ได้เป็นรองอาคันตุกะเลยแม้แต่น้อยจากสถิติหลังครบ 90 นาที
นั่นคือ ลิเวอร์พูล ครองบอลได้เหนือกว่าลดลงเหลือ 51:49% เท่านั้น และได้ยิงรวมกัน 14 ครั้งเข้ากรอบ 5 ครั้ง ขณะที่ ฟูแล่ม ได้ยิง 11 ครั้งเข้ากรอบ 5 ครั้งเท่ากันซึ่งบ่งบอกได้ว่าเป็นเกมที่ หงส์แดง หืดจับไม่ใช่เล่นก่อนจะกรุยทางเข้าไปชิงชนะเลิศได้
5. คู่ชิงที่สมน้ำสมเนื้อ
ในที่สุด แมตช์ชิงชนะเลิศ คาราบาวคัพ ซีซั่น 2023/24 ก็เป็นไปอย่างที่แฟนบอลวาดหวังเนื่องจากเป็นการเผชิญหน้ากันของสองทีมยักษ์ใน พรีเมียร์ลีก ซึ่งต้องบอกว่าถูกคู่อย่างยิ่ง
แม้ในอันดับตาราง พรีเมียร์ลีก ทั้งสองทีมจะแตกต่างกันอย่างมหาศาลเนื่องจากทีมของ คล็อปป์ นำเป็นจ่าฝูง ขณะที่ทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ รั้งอันดับเก้าของตารางซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นตัวเลขที่น่าผิดหวังอย่างแรงหากจะมองถึงการลงทุนซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทัพอย่างเป็นบ้าเป็นหลังของ สิงห์บลูส์
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลนัดเดียวไม่เข้าใครออกใครทั้งนั้น แถมสถิติการบู๊กันในระยะหลังของสโมสรปรากฏว่าเป็นเรื่องยากที่ ลิเวอร์พูล จะเอาชนะ เชลซี ได้ง่ายๆเนื่องจากทั้งสองฝ่ายกินกันไม่ลง และเสมอกันมาตลอดเจ็ดนัดหลังในทุกรายการ แถมก่อนหน้านั้นที่มีผลแพ้ชนะ เป็น หงส์แดง ด้วยซ้ำที่พ่ายคารัง 1-0 ในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2021
สำหรับสถิติที่ว่านี้ยึดจากผลลัพธ์หลังจบ 90 นาทีเท่านั้นเนื่องจากทั้งสองทีมเคยต่อกรกันในถ้วย ลีกคัพ และ เอฟเอคัพ ในซีซั่นเดียวกัน 2021/22 และเสมอ 0-0 ทั้งสองเกม หากแต่ เร้ด แมชีน ได้เฮด้วยการดวลลูกโทษชนะทีมเมืองหลวงทั้งในรอบชิงชนะเลิศของสองรายการนี้
พร้อมกันนี้ ก่อนจะได้ลุ้นว่าเจ้าพ่อถ้วย ลีกคัพ อย่าง ลิเวอร์พูล จะคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นสถิติสมัยที่ 10 หรือเปล่าในนัดชิงดำวันที่ 25 ก.พ. ทั้งสองทีมจะได้เตะนัดชิมลางกันก่อนในเกม พรีเมียร์ลีก ที่ แอนฟิลด์ วันที่ 30 ม.ค.นี้ซึ่งเราจะได้เห็นกันก่อนว่าทีมไหนที่มีแววได้ชูโทรฟี่ใบแรกของซีซั่นนี้มากกว่ากัน