เจอ เรอัล มาดริด ทั้งหมด! ย้อนรอย 2 ทีมเอเชียทะลุชิงดำศึกชิงแชมป์สโมสรโลก

เจอ เรอัล มาดริด ทั้งหมด! ย้อนรอย 2 ทีมเอเชียทะลุชิงดำศึกชิงแชมป์สโมสรโลก
ในที่สุดเราก็ได้คู่ชิงชนะเลิศของศึกชิงแชมป์สโมสรโลก 2022 (ที่เตะกันในปี 2023) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยฝั่งหนึ่งถือว่ามาตามนัด นั่นคือ เรอัล มาดริด ทีมดังจากสเปน แต่อีกรายถือว่าเข้ารอบมาแบบเซอร์ไพรส์ โดยทีมที่ว่าคือ อัล-ฮิลัล สโมสรจากซาอุดิอาระเบีย

นี่นับเป็นครั้งที่ 3 จากทั้งหมด 19 ครั้งที่คู่ชิงชนะเลิศของศึกชิงแชมป์สโมสรโลกมีตัวแทนจากทวีปเอเชียลงแข่งด้วย และมันเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่คู่แข่งก็เป็น มาดริด ทั้ง 3 หน ซึ่งวันนี้เราจะไปย้อนดู 2 ครั้งก่อนหน้านี้สักหน่อยว่ามีใครกันบ้าง และผลงานระหว่างทางของพวกเขาเป็นยังไง

- คาชิม่า แอนท์เลอร์ส : 2016

แอนท์เลอร์ส ได้สิทธิ์ลงเล่นศึกชิงแชมป์สโมสรโลกในครั้งนั้นด้วยโควตา "ตัวแทนจากชาติเจ้าภาพ" จากการที่พวกเขาเป็นแชมป์ เจ ลีก ปี 2016 เพราะที่จริงแชมป์ทวีปเอเชียคือ ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส สโมสรจากเกาหลีใต้ ซึ่งจากการใช้โควตาเจ้าถิ่นทำให้ แอนท์เลอร์ส ต้องลงเล่นตั้งแต่รอบแรก โดยที่คู่แข่งคือ อ็อคแลนด์ ซิตี้ แชมป์โซนโอเชียเนียจาก นิวซีแลนด์

แม้ว่าฉากหน้า แอนท์เลอร์ส จะดูเหนือกว่า แต่พวกเขาก็เกือบเอาตัวไม่รอดเมื่อ อ็อคแลนด์ นำไปก่อนจาก คิม แด-วุ๊ค ในนาทีที่ 50 ยังดีที่พวกเขามาได้ประตูาก ชูเฮ อากาซากิ ในนาทีที่ 67 กับ มู คานาซากิ ในช่วง 2 นาทีสุดท้ายจนทำให้แฟนบอลเจ้าถิ่นยังได้ตามเชียร์ตัวแทนจากชาติของตัวเองต่อในรอบ 2

มาเมโลดี้ ซันดาวน์ส ทีมจากแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นแชมป์ของทวีปแอฟริกาคือคู่แข่งในรอบต่อไปของ แอนท์เลอร์ส และหนนี้พวกเขาก็ไม่เหนื่อยเท่ารอบแรกหลังชนะไป 2-0 ด้วยประตูของ ยาซาชิ เอ็นโดะ ในนาทีที่ 63 กับ คานาซากิ เจ้าเดิมที่ยิงในนาทีที่ 88 อีกครั้ง

พอถึงรอบรองชนะเลิศ แอนท์เลอร์ส ต้องเจอกับ อัตเลติโก นาซิยองนาล ทีมจากโคลอมเบีย ซึ่งถ้าวัดตามหน้าเสื่อนั้นนี่ควรจะเป็นงานหนักที่สุดของพวกเขา แต่กลับกลายเป็นว่า แอนท์เชอร์ส ชนะไป 3-0 โดยพวกเขาได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 33 จากลูกจุดโทษของ โชมะ โดอิ ก่อนจะมารัว 2 ลูกในช่วงท้ายเกมจาก เอ็นโดะ ในนาทีที่ 83 และ ยูมะ ซูซูกิ ในนาทีที่ 85

แอนท์เลอร์ส กลายเป็นทีมจากเอเชียทีมแรกที่ได้เล่นนัดชิงดำของรายการนี้ และต้องเจอกับ มาดริด ที่คุมทีมโดย ซีเนดีน ซีดาน รวมถึงมีนักเตะชื่อดังหลายคนอยู่ในทีม ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เซร์คิโอ รามอส, คาริม เบนเซม่า, ลูก้า โมดริช, โนที่ โครส, กาเซมีโร่ และ ราฟาแอล วาราน เป็นต้น

ในนัดชิงดำ มาดริด ทำท่าว่าจะชนะแบบสบายๆ หลังขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 9 จาก เบนเซม่า แต่กลับกลายเป็นว่า แอนท์เลอร์ส แซงนำไป 2-1 จากการเหมาของ กาคู ชิบาซากิ ในนาทีที่ 44 กับ 52 อย่างไรก็ตาม มาดริด มาตามตีเสมอได้จากลูกจุดโทษของ โรนัลโด้ ในนาทีที่ 60 ทำให้ต้องตัดสินผู้ชนะกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษท้ายที่สุด โรนัลโด้ ก็มายิงอีก 2 ลูกในนาทีที่ 98 กับ 104 ทำให้ "ราชันชุดขาว" ได้แชมป์ไปเชยชม

- อัล-ไอน์ : 2018

อัล-ไอน์ เริ่มต้นด้วยแนวทางเดียวกับ แอนท์เลอร์ส เป๊ะ นั่นคือพวกเขาได้สิทธิ์ลงเล่นในฐานะตัวแทนของชาติเจ้าภาพผ่านทางตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำซีซั่น 2017-18 โดยแชมป์ของทวีปเอเชียที่ได้ลงเล่นรายการนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น แอนท์เลอร์ส นั่นเอง

อัล-ไอน์ ต้องออกสตาร์ตตั้งแต่รอบแรกด้วยการเจอกับ ทีม เวลลิงตัน สโมสรจากนิวซีแลนด์ ซึ่งเกมนี้ ทีม เวลลิงตัน ทำเอาแฟนบอลเจ้าถิ่นเงียบกริบในตอนแรกเพราะนำไปก่อน 3 ลูก แต่ว่า อัล-ไอน์ ตายยากจนตามตีเสมอเป็น 3-3 ได้ ก่อนจะจบ 90 นาทีด้วยสกอร์ดังกล่าว และในช่วงต่อเวลาพิเศษก็ยังไม่มีใครทำประตูเพิ่มได้จนต้องดวลจุดโทษกันต่อ และเป็น อัล-ไอน์ ที่ยิงได้แม่นยำกว่าจนชนะในช่วงดวลเป้าด้วยสกอร์ 4-3

ในรอบสอง อัล-ไอน์ ได้ดวลกับ เอสปาเรนเซ่ เดอ ตูนิส ทีมจาก ตูนิเซีย ซึ่งหนนี้พวกเขาไม่ต้องเหนื่อยมากนักหลังชนะแบบขาดลอย 3-0 จนทำให้พวกเขาได้เข้าไปเจอกับ ริเวอร์ เพลท ทีมดังของอาร์เจนตินาในรอบรองชนะเลิศ

เกมนี้ อัล-ไอน์ ขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 3 จาก มาร์คุส เบิร์ก ก่อนที่ ริเวอร์เพลท จะได้ 2 ลูกรวดจาก ราฟาเอล ซานโตส บอร์เร่ ในนาทีที่ 11 กับ 16 แต่ทีมของเจ้าถิ่นก็ตีเสมอได้จาก เชา ลูกัส ในนาทีที่ 51 ทำให้จบ 90 นาทีเสมอกัน 2-2 และพอถึงช่วงต่อเวลาพิเศษสกอร์ก็ไม่ขยับไปไหนทำให้ต้องดวลจุดโทษกัน โดยฝั่งของ อัล-ไอน์ ยิงเข้าครบทั้ง 5 คน ส่วน เอ็นโซ่ เปเรซ ตัวแทนคนสุดท้ายของ ริเวอร์ เพลท ยิงไม่เข้า ทำให้ อัล-ไอน์ ได้ทะลุไปเล่นนัดชิงดำกับ มาดริด

น่าเสียดายที่ในนัดชิงดำ อัล-ไอน์ สู้ตัวแทนของฝั่งยุโรปไม่ได้เลย โดยที่ มาดริด นำไปก่อน 3 ลูกจาก โมดริช ในนาทีที่ 14, มาร์กอส ยอเรนเต้ ในนาทีที่ 60 และ รามอส ในนาทีที่ 79 แม้ว่า ซึคาสะ ชิโอทานิ จะตีไข่แตกให้เจ้าถิ่นได้ในนาทีที่ 86 แต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ "ราชันชุดขาว" ก็ได้เพิ่มอีก 1 ลูกจากการทำเข้าประตูตัวเองของ ยาเฮีย นาเดอร์

สำหรับ อัล-ฮิลัล เองนั้น พักหลังพวกเขาค่อนข้างมีผลงานที่น่าประทับใจในถ้วยนี้ หลังจากไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ถึง 2 จาก 3 ครั้งหลังสุด ก่อนถึงการแข่งในครั้งนี้ เพียงแต่สุดท้ายต้องปราชัยในรอบตัดเชือกและนัดชิงอันดับ 3 ทั้งหมด ซึ่งก็ต้องรอดูกันว่าพวกเขาจะสร้างปาฏิหาริย์ในนัดชิงดำขึ้นมาได้หรือไม่


- เด็กเกร็ดบอล -


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : เด็กเกร็ดบอล
เด็กเกร็ดบอล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport