ปีกหักคาบ้าน,ฟอร์มแย่ยกทีม! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล โดน อตาลันต้า ถล่มยับ

ปีกหักคาบ้าน,ฟอร์มแย่ยกทีม! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล โดน อตาลันต้า ถล่มยับ
บทจะเล่นได้แย่ก็สามัคคีแย่ยกทีมจริงๆสำหรับ ลิเวอร์พูล ซึ่งโดน อตาลันต้า ทำแสบบุกมายำใหญ่ทีมดังของ พรีเมียร์ลีก ได้ถึง แอนฟิลด์ ด้วยสกอร์ 3-0 ในเกม ยูโรปาลีก รอบแปดทีมนัดแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 เม.ย.ซึ่งน่าจะบอกได้ว่าเป็นเกมที่เลวร้ายที่สุดของ เครื่องจักรสีแดง เกมหนึ่งก็ว่าได้ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งน่าเสียวไส้เหลือเกินว่าบอสชาวเมืองไส้กรอกอาจชวดคว้าแชมป์รายการนี้อย่างที่วาดหวังไว้ก่อนอำลาสโมสรในช่วงซัมเมอร์

1. เจ้าบ้านปรับทีมครึ่งโหล-ดร็อป ซาลาห์

ลิเวอร์พูล เปลี่ยนไลน์อัพจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดออกไปเสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมามากถึงหกตำแหน่ง

ในจำนวนนี้ จาเรลล์ ควานซาห์ ที่ก่อความผิดพลาดในเกมแดงเดือดหล่นไปรับบทตัวสำรองเช่นเดียวกับ คอเนอร์ แบรดลีย์ , แอนดี้ โรเบิร์ตสัน , โดมินิก โซโบซไล , โม ซาลาห์ และ หลุยส์ ดิอาซ

สำหรับนักเตะที่ได้ออกสตาร์ตประกอบไปด้วย โจ โกเมซ , อิบราฮิมา โกนาเต้ , เคอร์ติส โจนส์ , ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ , โคดี้ กัคโป และ คอสตาส ซิมิคาส

อย่างไรก็ดี เจ้าบ้านได้สตาร์คนสำคัญอย่าง ดีโอโก้ โชต้า หายเจ็บกลับมานั่งข้างสนามโดยสตาร์ทีมชาติ โปรตุเกส ไม่ได้ลงเล่นนับตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ. ขณะที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ มีชื่อเป็นตัวสำรองเช่นกัน รวมถึง สเตฟาน บายเซติช มิดฟิลด์สแปนิชวัย 19 ปีด้วย

2. อตาลันต้าส่งอดีตสองแข้ง พรีเมียร์ลีก นำทัพ

อตาลันต้า บุกมาเยือน แอนฟิลด์ โดยมีสองดาวเตะที่เคยค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก อยู่ในโผตัวจริง

ทีมอันดับหกจาก เซเรียอา ส่ง ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า อดีตกองหลัง เชลซี ออกสตาร์ตโดยฟูลแบ็ควัย 31 ปีเคยได้แชมป์ ยูโรปาลีก กับ สิงห์บลูส์ ในปี 2019

นอกจากนี้ ทีมเยือนมี จานลูก้า สคามัคค่า อดีตกองหน้า เวสต์แฮม อยู่ในทีมเช่นกันโดยหัวหอกวัย 25 ปี ยิงประตูให้ทีมชาติ อิตาลี ได้แม้พวกเขาจะแพ้  อังกฤษ 3-1 ในเกมคัดเลือกยูโร 2024 ที่ เวมบลีย์ เมื่อเดือนต.ค.

3.แนวรับหงส์น่าเป็นห่วง

เป็นอีกเกมที่ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้หลังเสียประตูให้ อตาลันต้า จากการประสานงานของอดีตสองดาวเตะใน พรีเมียร์ลีก โดย ซัปปาคอสต้า ผ่านบอลจากกราบขวาให้ สคามัคค่า ซัดตุงตาข่ายก่อนจบครึ่งแรก

แม้จะได้เล่นในบ้าน แต่ หงส์แดง มีผลงานในเกมรับที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเนื่องจากพวกเขาไม่เสียประตูให้กับผู้มาเยือนแค่นัดเดียวเท่านั้นจากเกมเหย้า 14 นัดหลังในทุกรายการ

นอกจากนี้ เร้ด แมชีน ยังเป็นฝ่ายเสียประตูก่อนในเกมที่ แอนฟิลด์ มากถึงสี่จากเจ็ดนัดหลังอีกต่างหาก

อย่างไรก็ดี ทีมของ คล็อปป์ มีสถิติที่ดีเยี่ยมในการพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าชัยชนะในช่วงครึ่งหลังได้บ่อยครั้ง จึงต้องดูว่าพวกเขาจะทำได้อีกนัดหรือเปล่าทั้งๆที่ผลงานใน 45 นาทีแรกกับ อตาลันต้า แลดูน่าอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะทีมเจ้าบ้านเหนือกว่าอาคันตะกุในแง่การครองบอลเท่านั้นจากสัดส่วน 70:30% และได้ยิง 5 ครั้ง แต่เข้ากรอบครั้งเดียว ขณะที่ทีมจากเมืองพิซซ่าได้ยิง 4 ครั้ง และเข้ากรอบถึง 3 ครั้งซึ่งเหมือนเป็นสัญญาณบอกกุนซือชาวเมืองไส้กรอกว่าเกมรุกของพวกเขาในเกมนี้มีปัญหาในการคลำเป้าอย่างเห็นได้ชัด และน่าจะต้องเปลี่ยนตัวสำรองลงไปพลิกเกมอย่างแน่นอน

4. บอสหมดเวทมนต์

หลังส่งตัวสำรองลงไปพลิกสถานการณ์อย่างครบครัน แทนที่ ลิเวอร์พูล จะยิงประตูคืนได้กลายเป็นว่าพวกเขาเสียเพิ่มอีกสองเม็ดให้กับ อตาลันต้า และแพ้ไปอย่างขาดลอย 3-0 ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ยากมหันต์สำหรับ คล็อปป์ หากต้องการพาทีมบุกไปซิวชัยในแดนมะกะโรนีเพื่อผ่านเข้ารอบตัดเชือก

เท่าที่ผ่านมา คล็อปป์ แสดงให้เห็นหลายต่อหลายครั้งว่าเขาเนรมิตผลงานของทีมได้อย่างเหลือเชื่อในครึ่งหลังอันทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ชื่อว่าเป็นจอมคัมแบ็คตัวจริงเสียงจริง แต่ไม่ใช่เกมนี้ซึ่งทีมเจ้าบ้านเล่นได้แย่ และแพ้ไปแบบสมควรโดยไม่ใช่ว่าปราชัยเพราะความโชคร้ายแต่อย่างใด

รวมถึงเกมล่าสุดนี้ ลิเวอร์พูล เสียประตูก่อนคู่แข่งมากถึง 20 นัดแล้ว แต่ คล็อปป์ พาทีมพลิกนรกกลับมาชนะได้มากถึง 9 นัด กระทั่งเมื่อมาเจอกับทีมเขี้ยวลากดินจาก เซเรียอา เขาไม่อาจเสกไม้เท้าวิเศษได้อีก แถมไม่มีวี่แววว่าจะทำได้ด้วยก่อนแพ้ไปแบบราบคาบ

ฉะนั้นแล้ว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ เร้ด แมชีน จะแพ้คารังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.2023 ซึ่งกินเวลานานถึง 33 นัดนับตั้งแต่พวกเขาเสียท่าให้กับ เรอัล มาดริด

จบ 90 นาทีที่ แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล ยังเหนือกว่าในด้านการครองบอล 70:30% รวมทั้งได้ยิงมากกว่า 19-11 ครั้ง แต่ด้อยกว่าทีมเยือนซึ่งส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 7-5 ครั้ง

5. อตาลันต้า อีกแล้วครับท่าน

ต้องบอกว่าแสบจริงทิงเจอร์เรียกพี่ของแท้สำหรับ อตาลันต้า ซึ่งประกาศศักดาบุกมากำชัยในสังเวียนแข้งอันเลื่องชื่อได้ แถมมีสกอร์นำห่างถึง 3-0 อีกต่างหากซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ที่จะมีทีมไหนบุกมาหักปีก หงส์แดง ได้อย่างแสบสันต์แบบนี้

อย่างไรก็ดี ทีมจากแบร์กาโม่รายนี้เคยแผลงฤทธิ์ที่สนามแห่งนี้มาก่อนแล้วในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มปี 2020

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สถานการณ์ในคราวนั้นกับงวดนี้มันต่างกันแบบสุดขั้วเนื่องจาก ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายออกไปเยือน อตาลันต้า ก่อน และเปิดฉากขยี้เจ้าบ้านเละเทะ 5-0 เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ซึ่งหมายความว่าทีมจากเมืองผู้ดีสามารถผ่อนเกมนัดสองในบ้านได้แบบไม่มีปัญหา

ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้ ลิเวอร์พูล เล่นแบบประคองตัวในเกมหลังวันที่ 25 พ.ย. และแพ้คารัง 2-0 นั่นเองซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไรในเมื่อพวกเขาทำงานได้อย่างลุล่วงตั้งแต่เกมแรก

จนมาคราวนี้ เร้ด แมชีน หมดสิทธิ์คิดการณ์อื่นนอกจากต้องบุกไปชนะที่แบร์กาโม่ 4-0 เพื่อผ่านเข้ารอบ หรือไม่ก็ต้องชนะให้ได้ด้วยสกอร์เดียวกับคู่แข่งเพื่อคว้าโอกาสลุ้นต่อในการดวลลูกโทษตัดสินซึ่งใครจะกล้าท้าเดิมพันว่า คล็อปป์ จะสร้างผลงานชิ้นโบแดงบนแผ่นดินเมืองมะกะโรนีได้สำเร็จ


ที่มาของภาพ : gettyimages,
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport