ไม่น่าจะผิดหากจะบอกว่า เอริค เทน ฮาก เจอกับเกมที่ยากที่สุดของเขานับตั้งแต่ย้ายมากุมบังเหียน แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อพาทีมทำศึก ยูโรปาลีก นัดเปิดบ้านเฉือนชนะ โอโมเนีย แบบหืดจับ 1-0 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ต.ค.
แน่นอนว่าตลอดทั้งเกมเป็น ผีแดง ที่บุกขึงผืดใส่ทีมรองบ่อนอยู่ข้างเดียว แต่จนแล้วจนรอดพวกเขาก็ยิงประตูไม่ได้ และต้องรอให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ตัวสำรองลงไปสอยประตูสำคัญในช่วงทดเวลาคว้าสามแต้มไปแบบน่าใจหายใจคว่ำ
1.แซมบ้า คอนเน็คชั่น
จากรายชื่อ 11 นักเตะตัวจริง เอริค เทน ฮาก เปลี่ยนผู้เล่นสามรายจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดบุกไปสยบ เอฟเวอร์ตัน 2-1 โดยมี เฟร็ด ได้ลงเล่นในแดนกลางแทน คริสเตียน เอริคเซ่น ร่วมกับ กาเซมีโร่ เพื่อนร่วมทีมชาติ บราซิล
นอกจากนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ได้ออกสตาร์ตในถ้วยใบนี้ตามคาดเสียบแทน อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่เดี้ยงอีกรอบ ส่วนอีกรายได้แก่ ไทเรลล์ มาลาเซีย ที่กลับมาแย่งตำแหน่งแบ็คซ้ายตัวจริงไปจาก ลุค ชอว์ ได้
อย่างไรก็ดี จุดที่น่าสนใจอยู่ที่การได้ประสานงานร่วมกันระหว่าง เฟร็ด กับ กาเซมีโร่ ซึ่งเป็นคู่มิดฟิลด์ตัวจริงในทีมชาติระยะหลัง แม้อันที่จริง เทน ฮาก จะเคยส่งทั้งคู่ลงเล่นเป็นตัวจริงร่วมกันมาแล้วในรายการนี้นัดเฝ้าบ้านแพ้ เรอัล โซเซียดาด 1-0
ถึงกระนั้น สิ่งที่แตกต่างไปก็คือในเกมบู๊กับทีมจาก ลา ลีกา กุนซือชาว ฮอลแลนด์ ส่ง กาเซมีโร่ จับคู่กับ เอริคเซ่น ขณะที่ เฟร็ด ถูกดันขึ้นสูงไปเล่นเป็นเหมือนหน้าต่ำคอยสนับสนุน โรนัลโด้ และนับจากเกมนั้นสองดาวเตะชาวเมืองกาแฟก็ไม่มีโอกาสลงเล่นให้กับสโมสรคู่กันอีกเลย
2.ครึ่งแรกที่ไม่น่าปลื้ม
ตลอด 45 นาทีแรก แมนฯ ยูไนเต็ด คุมเกมได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยครองบอลได้เหนือกว่ามากถึง 79-21%
ยิ่งไปกว่านั้น ทีมเจ้าบ้านได้โอกาสเช็คบิล 15 ครั้งโดยเป็นการส่งบอลเข้ากรอบ 4 ครั้ง ขณะที่ทีมจาก ไซปรัส ได้ลุ้นแค่หนเดียว และไม่ตรงกรอบ
แต่จากที่เห็น มันฟ้องว่า ผีแดง ไม่มีทั้งพิษสงและประสิทธิภาพในการพังประตูเนื่องจากได้แต่ซัดบอลวืดวาดไปมาซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่พวกเขาต้องปรับปรุงให้ได้ในเมื่อเกมฟุตบอลตัดสินผลแพ้ชนะที่จำนวนครั้งของการได้ประตูเท่านั้น
ขณะเดียวกัน แมนฯ ยูไนเต็ด หวิดเสียประตูก่อนเหมือนนัดที่แล้วอีกต่างหากเมื่อเปิดพื้นที่ในแนวรับให้ทีมเยือนได้โต้กลับในจังหวะดันกันขึ้นหน้าไปแทบหมด ดีที่ว่า บรูโน่ ซัดบอลหลุดกรอบอันเป็นโอกาสหนเดียวของ โอโมเนีย ในครึ่งแรก
3.สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ
จบจากเกมนี้ไป แฟนบอล ผีแดง น่าจะต้องจำชื่อ ฟรานซิส อูโซโฮ จนขึ้นใจแน่เพราะทั้งๆที่เป็นนายทวารมือสองที่ได้เฝ้าเสาแทน ฟาเบียโน่ มือหนึ่งชาว บราซิล ซึ่งมีอาการบาดเจ็บรบกวน แต่หมอผีฝีมือฉมังจาก ไนจีเรีย รายนี้หวิดสร้างความขายหน้าให้กับ ผีแดง ได้ด้วยซ้ำ
นับตั้งแต่นาทีแรกจนถึงนาทีสุดท้ายที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด จอมเซฟวัย 23 ปีซึ่งเผยว่าเป็นแฟนบอลของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ยอมปล่อยให้ทีมเจ้าถิ่นส่งบอลผ่านเขาเข้าประตูได้เลยจากการสำแดงความเหนียวออกมาอย่างต่อเนื่อง และน่าจะได้ตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ อย่างไม่ต้องสงสัยหากไม่เผอิญว่าสุดท้ายแล้ว แม็คโทมิเนย์ สบโอกาสซัดประตูโทนได้สำเร็จก่อนหมดเวลาแค่อึดใจเดียว
รวมแล้วตลอด 90 นาที ผู้รักษาประตูทีมชาติ อินทรีมรกต เซฟประตูเป็นพัลวันได้ถึง 12 ครั้งจากโอกาสที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้กระหน่ำยิงตลอดทั้งเกม 34 ครั้ง และเข้ากรอบ 13 ครั้ง
หากจะเทียบกับนัดก่อนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปคว้าชัย 3-2 ต้องบอกว่าเกมนี้ทีมจาก พรีเมียร์ลีก มีสถิติที่ดีกว่าเนื่องจากกลางสัปดาห์ที่แล้วพวกเขาได้ส่องยิงทั้งหมด 28 ครั้ง และเข้ากรอบ 8 ครั้ง หากแต่นัดนี้ทีมเจ้าบ้านสอยตาข่ายกันไม่เป็นสับปะรด และถ้าไม่ได้ แม็คโทมิเนย์ ลงมายิงกู้หน้าก็คงหนีไม่พ้นต้องโดนสาวกโห่ใส่อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน มีการยืนยันว่า 34 ครั้งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ง้างไกในเกมนี้ถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดในเกม ยูโรปาลีก ซีซั่นนี้ของทุกสโมสร แต่ลงเอยแล้วพวกเขากลับชนะไปแบบจุ๋มจิ๋มสิ้นดี
4.โรนัลโด้ ยิ้มไม่ออก
หลังจากคลำเป้าเป็นประตูที่ 700 ในระดับสโมสรได้สำเร็จจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดบุกไปคว่ำ เอฟเวอร์ตัน 2-1 คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ได้รับการคาดหมายว่าน่าจะเพิ่มสกอร์ในเกมบู๊กับ โอโมเนีย ได้อีกเนื่องจากเขาเป็นขุนพลตัวจริงของทีมในถ้วยใบนี้อย่างเต็มตัวไปแล้ว
และแม้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีโอกาสเช็คบิลผู้มาเยือนเป็นชุด รวมถึง ซีอาร์เซเว่น เองก็มีจังหวะทำสกอร์หลายครั้งเช่นกัน แต่จนแล้วจนรอด ดาวยิงวัย 37 ปีก็ไม่อาจกระซวกทวารทีมจาก ไซปรัส ได้เช่นเดียวกับนัดก่อนซึ่งเขาได้เข่นทั้งหมด 8 ครั้ง แต่ไม่เป็นประตู และเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดของเจ้าตัวในเกมยุโรปนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2019 สมัยยังเป็นสตาร์ของทีม ยูเวนตุส
อย่าว่าแต่ โรนัลโด้ เลย ในเกมล่าสุด มาร์คัส แรชฟอร์ด อาการหนักกว่าซะอีกเนื่องจากดาวยิงผิวสีโอกาสตะบันประตูใส่ โอโมเนีย มากถึง 10 ครั้งซึ่งเป็นสถิติสูงสุดที่นักเตะคนหนึ่งได้สับไกในรายการนี้ของซีซั่นนี้
5.ถึงเวลา แม็คเฟร็ด คัมแบ็ค?
มองดูแล้วไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะแม้ แม็คโทมิเนย์ จะเป็นฮีโร่ในเกมล่าสุด แต่ เฟร็ด ซึ่งเคยเป็นคู่ขาคนสำคัญของกองกลางเลือดวิสกี้ไม่ได้มีผลงานที่น่าประทับใจอะไรหลังได้กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริง
และเป็นเรื่องน่าเสี่ยดายไม่น้อย ที่ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดต้อนรับ นิวคาสเซิ่ล สุดสัปดาห์นี้ แม็คโทมิเนย์ ต้องอดบู๊ เนื่องจากสะสมใบเหลืองครบโควต้า จึงต้องชดใช้โทษแบน
ขณะที่ คริสเตียน เอริคเซ่น น่าหวนคืนตัวจริง ผนึกกำลังกับ กาเซมิโร่ ในการดวล ทูน อาร์มี่