ยูโรปา ลีก โทรฟี่ที่ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ยังไม่เคยสัมผัส

ยูโรปา ลีก โทรฟี่ที่ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ยังไม่เคยสัมผัส
ลิเวอร์พูลเป็นเต็งหนึ่งฟุตบอลยูฟ่า ยูโรปา ลีก ฤดูกาลนี้

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่เมื่อดูจากปัจจัยและองค์ประกอบหลายๆ ข้อ

คุณภาพที่ทีมหงส์แดงมี มาตรฐานโดยปกติแล้วเป็นขาประจำในถ้วยใหญ่ คู่ต่อสู้ที่ต้องเผชิญหน้า รวมถึงผลงานที่แสดงให้เห็นในถ้วยนี้เมื่อผ่านจากเกมแรกมาจนถึงเกมล่าสุด

จะอย่างไรดีกรีความยากของถ้วยนี้ก็ยังไม่เท่ารายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ความเขี้ยวของทีมอย่าง ตูลูส แซงต์ ชิลลวส หรือ แอลเอเอสเค ลินซ์ นั้นเทียบไม่ได้เลยกับบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดอย่าง เรอัล มาดริด บาเยิร์น มิวนิค แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อินเตอร์ มิลาน หรือทีมอื่นๆ

จะบอกว่าเปลี่ยนบรรยากาศก็คงพอได้ ถามว่าเต็มใจเปลี่ยนไหมก็ไม่เต็มใจหรอก เผอิญว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ นิวคาสเซิ่ล เขาไม่ยอมลงให้เมื่อซีซั่นก่อนน่ะ

ลิเวอร์พูลก็เลยต้องลงมากินลมชมวิวในเวทีนี้ แต่เมื่อลงมาแล้วก็ต้องเต็มที่กับมัน จะให้ทิ้งขว้างไม่สนใจใยดีเหมือนคนเคยตัวก็คงไม่ใช่ ทุกๆ ชัยชนะหมายถึงรายได้เข้าสโมสร สถิติที่ถูกบันทึก ทั้งยังมีคะแนนสัมประสิทธิ์มอบให้

ปล่อยปละเตะไปยักไหล่ไป แพ้ก็ได้ ตกรอบก็ดี อาจจะอยู่ในความรู้สึกแฟนบอลอยู่บ้างเพราะเราก็เคยตัวจริงๆ นั่นแหละกับความเข้มข้นของแชมเปี้ยนส์ ลีก คู่แข่งน่าดูกว่า เงินก็ได้เยอะกว่า แถมยังอยากให้ทีมใส่สมาธิเต็มที่ในพรีเมียร์ลีก

แต่สโมสรและทีมงานคงไม่ได้คิดแบบนั้น

เราจึงได้เห็น เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดทัพแบบไม่ทิ้งตลอด 5 เกมของรอบแบ่งกลุ่มรายการนี้ หลุยส์ ดิอาซ ดาร์วิน นูนเญซ อิบราฮิมา โกนาเต้ เป็นตัวจริง 3 เกม โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดีโอโก้ โชต้า โกดี้ คักโป เป็นตัวจริง 2 เกม

ซาลาห์ (ตัวจริง 2 สำรอง 3) กับ ดาร์วิน (ตัวจริง 3 สำรอง 2) ลงเล่นครบทั้ง 5 นัดร่วมกับ วาตารุ เอนโด และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่ออกสตาร์ตตั้งแต่ต้นเกมทั้งหมด

จัดตัวลงสนามโดยหวังผลถึงชัยชนะในทุกๆ เกม มีที่หลุดฟอร์มไปเพียงนัดเดียวคือเกมที่ออกไปเยือนตูลูสแล้วแพ้กลับมา 2-3

เกมอื่นๆ ที่เหลือกำชัยได้เรียบวุธในแบบของทีมที่เหนือกว่า สกอร์ 2-0, 3-1, 4-0 และ 5-1 ยืนยันถึงคุณภาพที่ยังแตกต่างกันอยู่ระหว่างลิเวอร์พูลกับทีมร่วมกลุ่ม

ในตอนนี้ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอนแล้วไม่ว่าผลนัดสุดท้ายที่ไปเยือนแซงต์-ชิลลวส จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องวุ่นวายกับ 2 เกมเหย้า-เยือนเพลย์ออฟที่อาจเพิ่มเข้ามาให้จุกจิก

กวาดตาดูคู่ต่อสู้ที่เหลืออยู่ในรายการแม้จะไม่อยู่ในระดับเฮฟวี่เวตแบบที่มองไปเห็นทีมราชันชุดขาว เสือใต้ เรือใบสีฟ้า งูใหญ่ หรือทีมอื่นๆ แต่มันก็ยังมีทีมชั้นดีอยู่อีกมากมาย

ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เวสต์แฮม ยูไนเต็ด โรม่า ไบรท์ตัน โอลิมปิก มาร์กเซย เรอัล เบติส ไฟร์บวร์ก บียาร์เรอัล สปอร์ติ้ง ลิสบอน แรนส์.. ยังไม่รวมแก๊งแชมเปี้ยนส์ ลีกที่อาจหล่นลงมาร่วมวงไพบูลย์ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปแอสเช เอซี มิลาน นิวคาสเซิ่ล กาลาตาซาราย ล็องส์ นาโปลี ซัลซ์บวร์ก เบนฟิก้า เฟเยนูร์ด หรือกระทั่ง เซบีย่า แชมเปี้ยนตัวจริงของยูโรปา ลีก

ถนนสู่แชมป์ยูโรปา ลีก แม้จะไม่หนักหนาสาหัสเหมือนแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และที่สำคัญมันคุ้มค่ากับการก้าวเดิน

สร้างความมั่นใจไปทีละก้าว ทีละก้าว ยิ่งไปกว่านั้นมันมีความฝันรออยู่ที่ปลายทาง

เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยได้แชมป์บุนเดสลีกา แชมป์เดเอฟเบ โพคาล แชมป์พรีเมียร์ลีก แชมป์เอฟเอ คัพ แชมป์ลีก คัพ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กระทั่งแชมป์สโมสรโลก

กวาดความสำเร็จมาแล้วมากมาย แต่เขายังไม่เคยได้ชูโทรฟี่ยูฟ่า ยูโรปา ลีก เลยสักครั้ง ได้เข้าชิงมันหนหนึ่งก็ลงเอยด้วยความปราชัย

ผมไม่รู้หรอกว่าเขารู้สึกอย่างไร แค่เดาใจว่าเมื่อได้มีโอกาสมาเตะในรายการนี้แล้วก็ต้องทำมันให้เต็มที่ ไปให้ไกลที่สุด และถ้าได้แชมป์ขึ้นมาจริงๆ มันก็คงจะเยี่ยมมาก

เหมือนอะไรบางอย่างที่ได้เติมเต็มชีวิตผู้จัดการทีม

และไม่เพียงแค่คล็อปป์เท่านั้นหรอกครับ นักเตะของลิเวอร์พูลในชุดนี้ทุกคน.. ยังไม่เคยมีใครได้แชมป์ยูฟ่า ยูโรปา ลีก

หลายคนคือขุนพลคู่ใจของคล็อปป์ในวีรกรรมไล่กวาดเกียรติยศเข้าแอนฟิลด์ แชมป์ยุโรปที่มาดริด แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ที่อิสตันบูล แชมป์สโมสรโลกที่อัล รายยาน แชมป์พรีเมียร์ลีก แชมป์ลีก คัพ แชมป์เอฟเอ คัพ

แต่ก็ยังไม่เคยมีใครได้แชมป์ยูโรปา ลีก.. ซาลาห์ ฟาน ไดค์ อลีสซง มาติป เทรนต์ โรเบิร์ตสัน

นักเตะทุกคนของลิเวอร์พูลในชุดนี้ ยังไม่เคยมีใครได้แชมป์ยูโรปา ลีก กระทั่ง ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่คว้าแชมป์มาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำก็ยังไม่เคยได้เชยชมมัน

เหตุผลสำคัญก็เพราะส่วนใหญ่แล้ว ติอาโก้ คล็อปป์ และลิเวอร์พูลโลดแล่นอยู่บนเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่ได้มาเตะยูโรปา ลีก แต่ก็นั่นล่ะครับ เมื่อวันนี้มีโอกาสได้ไล่ล่ามันอย่างจริงๆ จังๆ ทำไมเราถึงจะมองข้ามมันไปล่ะ

ลิเวอร์พูลเข้าใกล้แชมป์ยูโรปา ลีก มากที่สุดในยุคของคล็อปป์คือปี 2016 ที่แพ้เซบีย่า

เกมที่บาเซิ่ลในวันนั้น คล็อปป์ทำหน้าที่อยู่ข้างสนาม แต่ลูกทีมทุกคนของเขาทั้งตัวจริง 11 คน ตัวสำรองที่ลงสนาม 3 คน และตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนามอีก 4 คน ไม่มีใครอยู่กับทีมแล้วในวันนี้

ตัวจริง - ซิมง มินโญเล่ต์ - นาธาเนียล ไคลน์, เดยัน ลอฟเรน, โคโล่ ตูเร่, อัลเบร์โต้ โมเรโน่ - เจมส์ มิลเนอร์, เอ็มเร่ ชาน, อดัม ลัลลาน่า - โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, แดเนียล สเตอร์ริดจ์

สำรองลงสนาม - โจ อัลเลน, คริสติยอง เบนเตเก้, ดิว็อค โอริกี้

สำรองไม่ได้ลงสนาม - แดนนี่ วอร์ด, มาร์ติน สเคอร์เทล, ลูคัส เลวา, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

ทุกคนแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง.. เหลือเพียง คล็อปป์ กับทีมชุดใหม่ของเขา

ความผิดหวังที่บาเซิ่ลทำให้จำนวนแชมป์ของคล็อปป์กับลิเวอร์พูลยังเป็น 0 แทนที่จะเป็น 1 หรือ 2 ไปแล้วตั้งแต่คุมทีมฤดูกาลแรก เพราะก่อนหน้านั้นสี่เดือนเขาก็แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในนัดชิงลีก คัพที่เวมบลีย์

คุมทีมปีแรกเข้าชิง 2 รายการ.. มันก็ไม่เลวนักหรอก

แต่ในขณะที่คล็อปป์มีโอกาสแก้ตัวในลีกคัพได้ทุกปีจนสามารถคว้ามันมาครองได้ในที่สุดเมื่อฤดูกาลก่อน เขากับทีมของเขากลับไม่มีโอกาสได้ไปเล่น ยูโรปา ลีก อีกเลยนับตั้งแต่วันที่แพ้เซบีย่าคราวนั้น

จนกระทั่งฤดูกาลนี้ ที่ทีมเตะผ่านไป 5 เกมก็ตีตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้เรียบร้อย

ถึงตรงนี้ผมคิดว่าเดอะค็อปสามารถตื่นเต้นกับถ้วยนี้ได้เต็มที่ แน่นอนมันไม่ใช่แชมเปี้ยนส์ ลีกแต่ก็ช่างมันสิ ในเมื่อปีนี้เราไม่ได้เตะถ้วยนั้นนี่หว่า แล้วรายการนี้ทั้งคล็อปป์และลูกทีมของเขาทุกคนก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับมัน

มันก็น่าตื่นเต้นที่จะได้เห็นพวกเขาทำมันสำเร็จร่วมกันเป็นครั้งแรก และนำโทรฟี่อันสวยงามมีเอกลักษณ์เข้ามาสมทบในตู้โชว์เป็นใบที่ 4 ต่อจากฤดูกาล 1972/73, 1975/76 และ 2000/01

ศักดิ์ศรีอาจจะน้อยกว่าแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่คุณค่าในตัวรายการไม่เคยด้อย มันมีอยู่ในตัวมันอย่างเต็มเปี่ยม

ไม่มีองุ่นเปรี้ยวใดๆ ทั้งสิ้น เตะกันมาครึ่งซีซั่นแล้ว องุ่นไม่เปรี้ยวแล้ว ยิ่งรอบแบ่งกลุ่มกำลังจะผ่านไป ด่านหน้าที่รออยู่คือเกมน็อกเอ๊าต์ ความสนุกและจริงจังก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ใครจะมองมันยังไงผมไม่รู้ แต่สำหรับผม ยูโรปา ลีก ฤดูกาลนี้คือถ้วยที่ผมอยากเห็นคล็อปป์ได้มันไปครอง ให้เขาได้เติมเต็มโทรฟี่ที่ยังหายไป

จากลิเวอร์พูล 0.0 สู่ลิเวอร์พูล 1.0 และล่าสุดคืบเข้าสู่ลิเวอร์พูล 2.0 คล็อปป์อัพเกรดทีมของเขาขึ้นมาเรื่อยๆ ฤดูกาลนี้รั้งอันดับสามในลีก เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายลีก คัพ เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายยูโรปา ลีก และรอเตะรอบสามเอฟเอ คัพในเดือนหน้า

ยังสามารถพูดได้ตั้งแต่ตอนนี้ว่าทีมยังมีลุ้นแชมป์ทุกรายการ

กับยูโรปา ลีก ลิเวอร์พูลเป็นเต็งหนึ่ง มันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกเมื่อดูจากปัจจัยและองค์ประกอบหลายๆ ข้อ แต่เชื่อเถอะว่าเส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอก

รอบ 16 ทีมสุดท้ายอาจจะยังดูไกลแต่ถ้ามองอีกด้านมันเหลืออีกแค่ 3 ด่านเท่านั้นเองก็จะถึงนัดชิงที่กรุงดับลิน

ค่อยๆ ก้าวไปทีละด่าน ทีละขั้น ทีละรอบ ถ้าทะลุเข้าชิงได้จริงๆ ผมเชื่อว่าเราจะได้ตื่นเต้นกับมันไม่แพ้นัดชิงรายการอื่นแม้กระทั่งแชมเปี้ยนส์ ลีก..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport