ในที่สุด แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เอาชนะทีมที่เป็นขวากหนามสำคัญมานานอย่าง บาร์เซโลน่า จนได้ พร้อมทั้งผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึก ยูโรปาลีก ได้สำเร็จจากการเปิดบ้านสยบทีมจ่าฝูงลีกกระทิงดุ 2-1 ในเกมรอบเพลย์ออฟนัดสองเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 พ.ย. ก่อนเป็นฝ่ายได้เฮด้วยสกอร์รวม 4-3
อย่างไรก็ดี ผีแดง ยังมีเกมที่สำคัญยิ่งกว่ารออยู่ในวันอาทิตย์นี้สำหรับนัดชิงชนะเลิศถ้วย คาราบาวคัพ กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ซึ่งไม่แน่ว่าลูกทีมของ เอริค เทน ฮาก จะยังเหลือเรี่ยวแรงกันอยู่หรือเปล่าหลังจากใช้พลังงานไปมาก และที่สำคัญ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เหมือนจะบาดเจ็บเล็กน้อยช่วงท้ายเกมจะพร้อมลงบู๊ที่ เวมบลีย์ หรือไม่?
1. แมนยู เต็มสูบปรับโผรายเดียว
เอริค เทน ฮาก ผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนนักเตะ 11 คนแรกจากนัดก่อนที่บุกไปเสมอกับ บาร์เซโลน่า 2-2 รายเดียวเท่านั้นโดยส่ง ลิซานโดร มาร์ติเนซ ที่พ้นโทษแบนเสียบแทน ไทเรลล์ มาลาเซีย ที่มีชื่อนั่งเป็นตัวสำรอง
อย่างไรก็ดี ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดก่อนหน้านี้ที่ ผีแดง เฝ้าบ้านพิชิต เลสเตอร์ 3-0 กองหลังทีมชาติ อาร์เจนติน่า ชุดคว้า แชมป์โลก ลงเล่นเป็นตัวจริงคู่กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ขณะที่ ราฟาแอล วาราน ได้พักเพื่อกลับมาเล่นเกมนี้
ทั้งนี้ หากจะเทียบกับนัดสยบ เดอะ ฟ็อกซ์ เทน ฮาก หมุนทีมตัวจริงสี่ตำแหน่งโดยมี วาราน , อาร่อน วาน บิสซาก้า , กาเซมีโร่ และ เจดอน ซานโช่ ได้ลงบู๊ก่อนหน้า ลินเดอเลิฟ , ดีโอโก้ ดาโลต์ , มาร์เซล ซาบิตเซอร์ และ อเลฮานโดร การ์นาโช่
2. บาร์ซ่า เปลี่ยนตัวจริงสี่ราย
ชาบี กุนซือทีม บาร์เซโลน่ จำเป็นต้องปรับโผ 11 คนแรกมากถึงสี่รายเนื่องจากสองกองกลาง กาบี้ กับ เปดรี้ ลงเล่นไม่ได้
เทียบจากเกมแรกที่ คัมป์นู ทีมจ่าฝูง ลา ลีกา ดร็อป มาร์กอส อลอนโซ่ ที่ซัดประตูให้ทีมออกนำไปนั่งข้างสนามเช่นเดียวกับ จอร์ดี้ อัลบา
ส่วนสี่รายที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเกมนี้ประกอบไปด้วย อันเดรียส คริสเตนเซ่น , อเลฆานโดร บัลเด้ ,เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และ เซร์กี้ โรเบร์โต้
อย่างไรก็ดี ทีมเยือนใส่ชื่อตัวสำรอง 9 รายแทนที่จะเป็น 11 รายเหมือนนัดแรกเนื่องจากขนนักเตะมาทั้งหมด 20 ชีวิต
ขณะเดียวกัน หากเทียบกับเกมลีกนัดเปิดบ้านชนะ กาดิซ 2-0 บาร์ซ่า เปลี่ยนตัวจริงรวมสี่ชีวิตเช่นกันโดย โรนัลด์ อาเราโฮ , บุสเก็ตส์ , ฟร้องค์ เกสซิเย่ และ ราฟินญ่า ได้กลับมาออกสตาร์ต
3. บรูโน่ มือไวใจเร็ว
ว่ากันตามจริง แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มเกมได้ไม่เลว และกำลังต่อเกมกันอย่างลงตัวแท้ๆ แต่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส มาเสียท่าให้กับ อเลฆานโดร บัลเด้ จนได้ในนาทีที่ 18 จากจังหวะเหนี่ยวแขนคู่แข่งล้มในเขตโทษ และทำให้ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ สังหารพาทีมเยือนออกนำ 1-0 แม้ ดาบิด เด เคอา จะพุ่งปัดได้ แต่น้ำหนักบอลแรงพอที่จะปะทะตาข่ายซึ่งถือเป็นจังหวะที่เสียหายอย่างยิ่งสำหรับทีมเจ้าบ้าน
นับจากนั้น บาร์ซ่า ก็เหมือนได้ใจ ขณะที่ ผีแดง เสียขวัญกันพอสมควรที่มาเสียประตูในจังหวะที่ไม่ควรไปเตะเนื้อต้องตัวคู่แข่งในกรอบเขตโทษ และแทบไม่มีลุ้นอีกเลยจวบจนจบครึ่งแรก
ตามสถิติที่มีการแจกแจงออกมาหลังบดเกือกกันครบ 45 นาที บาร์ซ่า ครองบอลได้มากกว่า 59:41% แต่ทั้งสองทีมได้ส่องยิง 4 ครั้งเท่ากันโดยเจ้าบ้านส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 2:1 ครั้ง และเป็น บรูโน่ เองที่ได้หลุดไปเข่นตั้งแต่ต้นเกม แต่ไม่ดีพอที่จะผ่านการปัดป้องของ มาร์ค อังเดร แทร์ ชเตเก้น ก่อนมาทำเสียลูกโทษอย่างน่าตำหนิ
4. เทน ฮาก โชว์กึ๋นแก้เกมอีก
ครึ่งหลัง เทน ฮาก เปลี่ยนตัวสำรองตามคาดทันทีเนื่องจาก เวาท์ เว็กฮอร์สต์ เล่นไม่ได้ และช้าเป็นเรือเกลือจนต้องโดนถอดออกให้ อันโตนี่ ลงบู๊ ขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ขยับมาเป็นหน้าเป้า
และแล้วแค่สองนาที บรูโน่ ก็แก้ตัวด้วยการผ่านบอลให้ เฟร็ด วิ่งเข้าสับไกระยะ 16 หลาอย่างเด็ดขาดตีเสมอเป็น 1-1 ได้อย่างรวดเร็ว และทำให้เกมกลับมาตื่นเต้นเหมือนนัดก่อนจนได้
อันที่จริง หลังประกาศรายชื่อ 11 ตัวจริงของ ผีแดง แฟนบอลในเมืองผู้ดีพากันร้องยี้ด้วยซ้ำที่ เทน ฮาก ไม่ส่ง มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ที่พ้นโทษแบนลงไปประสานงานกับ กาเซมีโร่ แต่ เฟร็ด พิสูจน์ให้เห็นว่าซีซั่นนี้เขายกระดับฝีเท้าได้แล้ว และสร้างประโยชน์ให้ทีมได้อย่างที่เห็น
และแน่นนอนว่าจากสถานการณ์ที่เป็นไปทำให้เจ้าบ้านกลับมามีลูกฮึดเต็มที่ กระทั่งนาทีที่ 73 อันโตนี่ ก็มาตะบันให้เจ้าบ้านแซงนำ 2-1 เหมือนนัดก่อนไม่มีผิด และเป็นประตูที่ 19 แล้วในทุกรายการของซีซั่นนี้ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คลำเป้าได้จากตัวสำรองซึ่งถือว่ามากที่สุดในบรรดาทีมจากห้าลีกใหญ่ของยุโรป กระทั่งในที่สุดทีมเจ้าบ้านก็กำชัยได้ด้วยสกอร์ดังกล่าว ผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 4-3 โดยสถิติหลังจบ 90 นาทีบ่งชี้ว่าทีมเยือนยังครองบอลได้มากกว่า 58:42% แต่ ผีแดง ได้ยิงรวมกัน 12 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้ง ขณะที่อาคันตุกะได้ยิงแค่ 6 ครั้ง และเข้ากรอบ 3 ครั้ง
5. จับติ้วรอบ 16 ทีม
การจับสลากประกบคู่รอบ 16 ทีมถ้วย ยูโรปาลีก จะมีขึ้นในวันศุกร์นี้ (24 ก.พ.) เวลา 18.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ตามกฏแล้วในรอบนี้ทีมจากชาติเดียวกันจะยังจับสลากให้พบกันเองไม่ได้ ขณะที่ทีมแชมป์กลุ่มจะได้สิทธิ์เป็นทีมวาง และจะได้เล่นในบ้านนัดสอง ขณะที่ทีมที่ชนะในรอบเพลย์ออฟจะไม่ได้เป็นทีมวางในการจับสลาก
- แชมป์กลุ่ม
อาร์เซน่อล (อังกฤษ)
เบติส (สเปน)
เฟเนบาห์เช่ (ตุรเคีย)
เฟเรนซ์วารอส (ฮังการี)
เฟเยนูร์ด (ฮอลแลนด์)
ไฟร์บวร์ก (เยอรมัน)
เรอัล โซเซียดาด (สเปน)
ยูนิยง แซงต์ กิลลุส (เบลเยี่ยม)
- ทีมชนะจากรอบเพลย์ออฟ
อูนิโอน เบอร์ลิน (เยอรมัน)
แมนฯ ยูไนเต็ด (อังกฤษ)
ยูเวนตุส (อิตาลี)
เลเวอร์คูเซ่น (เยอรมัน)
โรม่า (อิตาลี)
เซบีย่า (สเปน)
ชัคตาร์ (ยูเครน)
สปอร์ติ้ง ลิสบอน (โปรตุเกส)
อนึ่ง นัดแรกของรอบ 16 ทีมจะเล่นกันในวันที่ 9 มี.ค. ขณะที่นัดสองจะเล่นกันในวันที่ 16 มี.ค. และจะมีการจับสลากประกบคู่ในรอบแปดทีม และรอบตัดเชือกวันที่ 17 มี.ค. ก่อนเตะรอบแปดทีมสองนัดวันที่ 13 และ 20 เม.ย. และรอบตัดเชือกสองนัดวันที่ 11 และ 18 พ.ค. ก่อนชิงชนะเลิศวันที่ 31 พ.ค. ที่สนาม ปุสกัส อารีน่า ใน บูดาเปสต์ ฮังการี