นัดชิงอันดับ 3 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ "ยูโร" ไม่ใช่ไม่เคยมีแต่พยามยามจัดแล้วสุดท้ายต้องยกเลิก
ในขณะที่ทัวร์นาเมนต์ระดับประเทศรายการอื่น อย่างเช่น ฟุตบอลโลก และ โกปา อเมริกา มีนัดชิงอันดับ 3 เพื่อเป็นการปลอบใจผู้แพ้จากรอบรองชนะเลิศนั้น แต่ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ "ยูโร" กลับไม่มี ทำให้ ยูโร2024 ฝรั่งเศส กับ เนเธอร์แลนด์ส ต้องกลับบ้านเป็นที่เรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ว่าศึก ยูโร ไม่เคยมีนัดชิงอันดับ 3 มาก่อน เพราะระหว่าง ยูโร 1960 จนถึงศึก ยูโร 1980 มันเคยมีนัดชิงอันดับ 3 แต่แล้วมันก็ไม่มีนัดดังกล่าวอีกเลยนับตั้งแต่ ยูโร 1984 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ ยูฟ่า เคยอธิบายว่าการยกเลิกนัดชิงอันดับ 3 นั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขัน เพราะในปี 1980 แม้ว่าจะมีทีมเข้ารอบสุดท้าย 8 ทีม แต่มันไม่มีรอบน็อกเอาต์แบบปกติ โดยเป็นการเอาแชมป์ของกลุ่ม 1 กับกลุ่ม 2 มาเล่นนัดชิงชนะเลิศกันทันที ส่วนรองแชมป์ของแต่ละกลุ่มจะมาเล่นนัดชิงอันดับ 3 กัน ขณะที่ใน ยูโร 1984 เปลี่ยนเป็นการเอา 2 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มเข้าสู่รอบน็อกเอาต์
อย่างไรก็ตาม หลายคนเชื่อว่าสาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ "ความไม่คุ้ม" ของการจัดนัดชิงอันดับ 3 เพราะนอกจากจะเสียเงินแล้วนั้น ผลตอบรับที่ได้กลับมาก็ยังน่าผิดหวังอีกด้วย โดยเฉพาะเรื่องยอดคนดู
ตามข้อมูลที่ระบุเอาไว้นั้น ศึก ยูโร 1960 ซึ่งเป็นครั้งแรกของรายการนี้ มันมีคนเข้าไปดู ฝรั่งเศส ชิงอันดับ 3 กับ เช็กโกสโลวาเกีย ใน สต๊าด เวโลโดรม เพียงแค่ 9,438 ชีวิตเท่านั้น ทั้งที่ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพในครั้งดังกล่าว แถมสุดท้าย ฝรั่งเศส ยังแพ้เกมนั้นอีก ส่วนนัดชิงดำที่ สหภาพโซเวียต ชนะ ยูโกสลาเวีย ในวันต่อมา มีคนเข้าไปดูเกมในสนาม 17,966 ชีวิต
4 ปีต่อมา คนที่เข้าไปดู ฮังการี ชนะ เดนมาร์ก ในช่วงต่อเวลาพิเศษจนได้อันดับ 3 ก็มีแค่ 3,869 คน เพราะนอกจากความน่าสนใจจะน้อยแล้วนั้น แฟนบอลของ สเปน ยังอยากเชียร์บ้านเกิดของตัวเองที่จะลงเล่นนัดชิงชนะเลิศกับ สหภาพโซเวียต ในอีก 1 วันหลังจากนั้นมากกว่า ซึ่งก็มีแฟนบอล 79,115 รายที่ได้เป็นสักขีพยานการได้แชมป์ในครั้งนั้นของ สเปน
ขณะที่ ยูโร 1968 ที่ อิตาลี เป็นเจ้าภาพนั้น มันมีการแก้ปัญหานี้ด้วยการให้นัดชิงอันดับ 3 กับนัดชิงชนะเลิศเตะวันเดียวกันและที่สนามเดียวกันเลย ทำให้ยอดผู้ชมระหว่าง อังกฤษ กับ สหภาพโซเวียต ในนัดชิงอันดับ 3 และนัดชิงดำของ อิตาลี กับ ยูโกสลาเวีย ที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก อยู่ที่ 68,817 คนเท่ากัน หลังจากแฟนบอลเข้าสนามกันตั้งแต่นัดชิงอันดับ 3 แล้วอยู่ดูเกมกันยาวๆ
ยูโร 1972 ที่จัดกันที่ เบลเยียม กลับไปให้นัดชิงอันดับ 3 เตะก่อนหน้านัดชิงดำ 1 วันเหมือนเดิม และในนัดชิงอันดับ 3 ก็มีแฟนบอลเข้าสนามแค่ 6,184 คนเท่านั้น ทั้งที่เจ้าภาพอย่าง เบลเยียม ลงเล่นเกมดังกล่าวกับ ฮังการี ตรงกันข้ามกับนัดชิงดำที่มีคนเข้าไปดู เยอรมัน ตะวันตก ชนะ สหภาพโซเวียต มากถึง 43,437 คน ยังดีที่ครั้งนั้น เบลเยียม ได้อันดับ 3 ไปปลอบใจ
ในยูโร 1976 ก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าภาพต้องมาเล่นนัดชิงอันดับ 3 นั่นคือ ยูโกสลาเวีย ที่เจอกับ เนเธอร์แลนด์ส และก็มีคนเข้าไปดูเกมในสนามเพียง 6,766 ชีวิต ก่อนที่เหล่าแฟนบอลเจ้าถิ่นต้องผิดหวังเมื่อทีมแพ้ "อัศวินสีส้ม" ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ส่วนนัดชิงชนะเลิศที่ เช็กโกสโลวาเกีย ชนะ เยอรมัน ตะวันตก ในวันต่อมานั้น มีคนเข้าไปชมเกมในสนามถึง 30,790 คน
มหกรรม ยูโร กลับมาจัดที่ อิตาลี ในปี 1980 แต่หนนี้เจ้าภาพต้องมาเล่นนัดชิงอันดับ 3 กับ เช็กโกสโลวาเกีย และมันก็เตะกันก่อนหน้านัดชิงดำ 1 วัน ซึ่งถึงแม้ยอดผู้ชมจะอยู่ที่ 24,652 คน แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับนัดชิงชนะเลิศที่มีคนเข้าไปชม เยอรมัน ตะวันตก ชนะ เบลเยียม 2-1 แบบติดขอบสนาม 47,860 ชีวิต โดยครั้งนั้น อิตาลี อดได้อันดับ 3 อีกต่างหาก หลังจากแพ้ เช็กโกสโลวาเกีย ในช่วงดวลจุดโทษ
นอกจากยอดคนดูในสนามจะไม่สูงแล้วนั้น จำนวนคนที่ชมเกมนัดชิงอันดับ 3 ผ่านทางโทรทัศน์ก็ยังไม่มากเท่าไหร่ด้วย และนั่นก็ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมามันก็ไม่มีเกมชิงอันดับ 3 ในศึก ยูโร อีกเลย
- เด็กเกร็ดบอล -