สิงโตหนังเหนียว,เซาธ์เกต เฮครบ100! 5 ข้อ อังกฤษ เข้าตัดเชือกยูโร

ในการฟาดแข้งเมื่อวันเสาร์ที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา อังกฤษ เสมอ สวิตเซอร์แลนด์  1-1 ในเวลา 120 นาทีชนิดที่ สิงโตคำราม เป็นฝ่ายเสียประตูก่อน แต่สามารถทวงคืนได้ทันควัน โดยทีมเมืองผู้ดีจะรอฟัดกับ เนเธอร์แลนด์ ในวันพุธนี้ 

แต่คำถามสำคัญที่ยังรอการเฉลยมีอยู่ว่าด้วยฟอร์มที่ทุลักทุเลแบบนี้ ทรี ไลอ้อนส์ ในฐานะหนึ่งในทีมตัวเต็งจะทะยานไปถึงตำแหน่งแชมป์จริงหรือ???

1. สิงโตปรับหมากหลังสามตามคาด

แกเร็ธ เซาธ์เกต นายใหญ่ทีมชาติ อังกฤษ หันมาใช้ระบบหลังสามตามที่ถูกสื่อเผยหลังคุมทีมมีผลงานแย่ตลอดสี่เกมแรกของทัวร์นาเมนต์ อีกทั้ง มาร์ค เกฮี เซ็นเตอร์ฮาล์ฟติดโทษแบนหนึ่งนัดลงบู๊ไม่ได้

รวมแล้ว ทรี ไลอ้อนส์ โรเตชั่นทีมรายเดียวโดยเลือกใช้งาน เอซรี่ คอนซ่า ลงเล่นในโผ 11 คนแรก ขณะที่ บูคาโย่ ซาก้า รับภาระวิงแบ็คขวาโดยมี คีแรน ทริปเปียร์ ทำหน้าที่อีกฝาก

ด้วยเหตุนี้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ กองหลัง ลิเวอร์พูล จึงต้องนั่งข้างสนามต่อเช่นเดียวกับ ลุค ชอว์ แบ็คซ้ายทีม แมนยู ซึ่งยังไม่มีส่วนร่วมอีกตามเคยแม้จะลงซ้อมได้แบบเต็มสูบแล้ว

ด้าน จู๊ด เบลลิ่งแฮม ซึ่งรอดพ้นโทษแบนข้อหาแสดงท่าทางเย้ยใส่ทีม สโลวาเกีย ในรอบ 16 ทีมกลายเป็นนักเตะ อังกฤษ อายุน้อยที่สุดที่ได้เล่นเป็นตัวจริงในรอบควอเตอร์ไฟนั่ลของศึก ยูโร ด้วยวัย 21 ปี 7 วัน

ขณะเดียวกัน ค็อบบี้ เมนู ขุนพลทีม แมนยู เป็นักเตะ ทรี ไลอ้อนส์ อายุน้อยที่สุดอันดับสองที่ได้ออกสตาร์ตรายการใหญ่รอบแปดทีมในวัย 19 ปี 78 วันรองจาก เวย์น รูนีย์ อดีตหัวหอก เร้ด เดวิลส์ ที่ได้ลงเล่นศึก ยูโร 2004 เกมบู๊กับ โปรตุเกส ในวัย 18 ปี 244 วัน

2. นาฬิกาโผเดิมสยบอัซซูรี่

มูรัต ยาคิน กุนซือทีมชาติ สวิตเซอร์แลนด์ สามารถใช้งานทีมชุดเดิมที่เอาชนะ อิตาลี ได้ 2-0 ในเกมรอบ 16 ทีมเนื่องจาก กรานิต ชาคา สตาร์คนสำคัญที่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยฟิตมากพอที่จะลงสนามได้ตามปกติ และถือเป็นเกมแรกในทัวร์นาเมนต์นี้ที่ทีมเมืองนาฬิกาไม่เปลี่ยนโผ 11 คนแรก

เป็นที่เปิดเผยว่าดาวเตะทีม ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เจ็บกล้ามเนื้อข้อพับสะโพกจากเกมปะทะกับทีม มะกะโรนี แต่หลังจากเข้ารับการสแกน พ่อค้าแข้งวัย 31 ปีพร้อมลงบู๊เพื่อถลกหนัง สิงโตคำราม

นอกจากนี้ ฟาเบียน แชร์ กับ มานูเอล อาคันจี ที่ค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก ลงเล่นเป็นตัวจริงเช่นกัน ขณะที่ ควัดโว่ ดูอาห์ ซึ่งเกิดในลอนดอนมีชื่อเป็นตัวสำรอง

3. ครึ่งแรกมีทั้งดีทั้งแย่

จากการปรับหมากหลังสาม ทำให้ อังกฤษ ครองเกมข่ม สวิตเซอร์แลนด์ อย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากแผงหลังปิดพื้นที่ได้รัดกุมมากขึ้น แถมเกมรุกก็เดินหน้าได้มากกว่าหลายเกมที่ผ่านมาโดยเฉพาะ ซาก้า ซึ่งแทบจะเล่นเป็นปีกมากกว่าวิงแบ็คด้วยซ้ำ และกลายเป็นที่พึ่งในเกมรุกของทีม

กระนั้นก็ดี แม้จะบุกได้อย่างต่อเนื่อง แต่แผนของ เซาธ์เกต ยังเน้นปลอดภัยไว้ก่อนเช่นเดิมซึ่งทำให้ อังกฤษ ไม่คิดผลีผลามในจังหวะสุดท้าย และกลายเป็นเรื่องน่าเสียดายดังจะเห็นว่าการผ่านบอลเข้าเขตอันตรายของดาวเตะทีม อาร์เซน่อล ไม่ลงล็อกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

สรุปแล้วทีม สิงโตคำราม จึงทำได้แค่ครองบอลไปมาเหมือนทุกเกม หากแต่นัดบู๊กับ สวิตเซอร์แลนด์ พวกเขาเล่นได้อย่างน่าอุ่นใจมากกว่าโดยไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้สร้างความหวาดเสียวมากนัก แต่ขณะเดียวกันจบ 45 นาทีแรกทีมเมืองผู้ดีส่งบอลเข้ากรอบไม่ได้เลยจากโอกาสยิง 5 ครั้ง ขณะที่ทีมเมืองนาฬิกาส่งบอลเข้ากรอบไม่สำเร็จเช่นกันจากโอกาส 2 ครั้งโดยที่ อังกฤษ ครองบอลได้มากกว่า 55.2%:44.8%

ต่อตัวเลขดังกล่าว มันเป็นเพียงนัดที่สองจาก 69 นัดหลังของเกม ยูโร รอบน็อกเอาต์ที่ทั้งสองทีมส่งบอลเข้ากรอบไม่ได้เลยหลังจบครึ่งแรกนับตั้งแต่รอบตัดเชือกปี 1996 ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับเกมระหว่าง โครเอเชีย กับ โปรตุเกส ในปี 2016

ขณะเดียวกัน แชร์ ซึ่งได้ใบเหลืองในครึ่งแรกกลายเป็นนักเตะที่ได้ใบเหลืองมากที่สุดในประวัติศาสต์ของศึก ยูโร เนื่องจากมันเป็นใบเหลืองใบที่แปดแล้วของกองหลังสวิสรายนี้

จะอย่างไรก็ตาม นอกจาก ซาก้า ที่มีบทบาทมากที่สุดของ อังกฤษ ในครึ่งแรกแล้ว เมนู เป็นอีกรายที่เล่นได้อย่างน่าประทับใจจากสถิติที่ถูกเผยออกมาดังนี้

• 100% ผ่านบอลแม่นยำ
• 100% ชนะการเข้าปะทะ
• 100% ชนะการดวล
• 2 แย่งบอล
• 2 ยิง
• 2 เข้าปะทะ

4. ซาก้า ต่อชะตาผู้ดี

กลับสู่ครึ่งหลัง สวิตเซอร์แลนด์ เป็นฝ่ายเปลี่ยนตัวสำรองก่อนหลังเกมผ่านหนึ่งชั่วโมงแรกมาได้เล็กน้อย และส่งผลให้เกมรุกของพวกเขาดีขึ้นทันตาเห็นก่อนที่ บรีล เอ็มโบโล่ จะเข้าฮอสพาทีมออกนำในนาทีที่ 75 ซึ่งบีบให้ เซาธ์เกต อยู่เฉยไม่ได้นอกจากต้องเปลี่ยนตัวสำรองลงไปพลิกสถานการณ์

และในที่สุด เกมของทีม สิงโตคำราม ก็กลับมากดดันคู่แข่งได้มากขึ้นทันทีก่อนที่ ซาก้า จะโชว์ฟอร์มส่องไกลจากริมเขตโทษด้านขวาส่งบอลเสียบเสาสองเข้าประตูตีเสมอให้ อังกฤษ 1-1 จนได้

ถึงตรงนี้ ซาก้า จึงเป็นนักเตะ อาร์เซน่อล รายที่สามที่สอยตาข่ายได้ในเกม ยูโร ต่อจาก โทนี่ อดัมส์ ในปี 1988 และ ธีโอ วัลค็อตต์ ในปี 2012 หากแต่ ซาก้า เป็นคนแรกจากทีมเมืองหลวงที่พังประตูได้ในเกมรอบน็อกเอาต์

จากที่เห็น พลันที่ อังกฤษ เอาตัวรอดไปได้อีกหนในเวลา 90 นาทีของทัวร์นาเมนต์นี้ มันฟ้องแฟนบอลเต็มตาว่า เซาธ์เกต เป็นผู้จัดการทืมที่ไม่คิดทำอะไรทั้งนั้นหากทีมยังไม่เสียประตู กระทั่งต้องเห็นทีมตาข่ายขาดก่อนเขาจึงจะคิดหาวิธีทำให้ทีมรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ ไม่ใช่คิดหาวิธีทำให้ทีมเอาชนะคู่แข่งให้ได้เป็นหลักดังจะเห็นว่าหลังจบเกมในเวลาปกติ ทีมเมืองผู้ดีส่งบอลเข้ากรอบแค่หนเดียวเท่านั้นจากโอกาสส่องยิง 9 ครั้ง ขณะที่ สวิส ส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 2 ครั้งจากโอกาส 8 ครั้งโดยทีม ทรี ไลอ้อนส์ ครองบอลได้มากกว่า 52.4%:47.6% 

5. ยิง(ลูกโทษ)ก่อนได้เปรียบ

แม้จะยังคุมทีมโชว์ฟอร์มได้ไม่น่าปลื้มอีกตามเคย แต่สุดท้าย เซาธ์เกต คว้าผลลัพธ์ได้สำเร็จจากการสร้างทีมเน้นเล่นอย่างเหนียวแน่นเป็นหลักก่อนที่ อังกฤษ ซึ่งมีผลงานยิงลูกโทษตัดสินที่น่าเป็นห่วงจะสยบ สวิตเซอร์แลนด์ ได้ในการคุมทีมลงสนามเป็นเกมที่ 100 พอดีของอดีตกองหลัง

และแน่นอนว่าการได้ยิงลูกโทษก่อนทำให้ สิงโตคำราม ได้เปรียบ แถม โคล พาลเมอร์ ซึ่งทำหน้าที่ได้แบบสุดชัวร์สร้างขวัญและกำลังใจให้ทีมได้เป็นอย่างดีพร้อมทั้งบีบให้ อาคันจี ขาสั่น และยิงได้แย่กระทั่งโดน จอร์แดน พิคฟอร์ด ปัดได้

เท่านั้นแหละ นักเตะอิงแลนด์ต่างก็ทำหน้าที่กันได้อย่างยอดเยี่ยมแม้ถัดจากนั้นทีมเมืองนาฬิกาจะไม่พลาดเช่นกัน แต่การออกนำก่อนทำให้ อังกฤษ กุมความได้เปรียบ และเป็นฝ่ายกำชัยในท้ายที่สุด

ขณะเดียวกัน หลังเข้ารอบตัดเชือกได้สำเร็จ  อังกฤษ เพิ่มสถิติไม่แพ้เกม ยูโร นาน 12 นัดติดต่อกันแล้วซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดของพวกเขาด้วยนับจากปี 1992

กะนั้นก็ดี ก่อนที่เกมในรอบตัดเชือกจะอุบัติ เซาธ์เกต มีเรื่องให้ครุ่นคิดพอสมควรเนื่องจาก เกฮี จะพ้นโทษแบนสามารถฟัดกับ ฟลายอิ้งดัตช์แมน ได้ และมันน่าสนใจว่าเขาจะจัดทัพลงสนามยังไง และจะเลือกใช้ระบบหลังสามต่อจนสุดทางหรือไม่ แถม ชอว์ หายเจ็บกลับมาลงสนามเป็นตัวสำรองได้แล้วซึ่งน่าลุ้นไม่น้อยเช่นกันว่าแบ็คซ้ายคนโปรดของเจ้านายจะได้ออกสตาร์ตเกมหน้าหรือเปล่า?