สำหรับศึกยูโร 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย โม่แข้งกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยงานนี้บรรดานักเตะตัวความหวังที่หลายคนคาดการณ์ว่าจะงัดฟอร์มเก่งออกมาได้ในรอบนี้ แต่สุดท้ายทำไม่สำเร็จ บางคนฟอร์มแย่ถึงขนาดต้องเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านเกิด บางคนฟอร์มน่าผิดหวัง แต่ยังดวงเฮงที่ยังมีโอกาสได้ไปต่อแถมได้ลุ้นแก้ตัวในรอบก่อนรองชนะเลิศ และนี่คือการจัด 11 ผู้เล่นยอดแย่โดยใช้ระบบการเล่น 4-3-3
ผู้รักษาประตู : ฟลอริน นิตา (โรมาเนีย)
ต้องยอมรับว่าเป็นแมตช์ที่เลวร้ายสำหรับ นิตา อย่างแท้จริง เพราะเขาไม่มีโอกาสที่จะช่วยอะไรทีมได้มากนัก แต่หากมองจากความจริงจังหวะที่เสียประตูแรก เจ้าตัวน่าจะทำได้ดีกว่านี้ในการป้องกันลูกยิงของ โกดี้ คักโป
แบ็กขวา : โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ (อิตาลี)
ถือเป็นฟอร์มการเล่นที่เลวร้ายเหลือเกินสำหรับ ดิ ลอเรนโซ่ โดยนักเตะขาดความรวดเร็วในการป้องกันการโจมตีของแนวรุกสวิตเซอร์แลนด์ การเล่นเกมรับก็หลวม โดยเฉพาะจังหวะเสียประตูที่สอง ที่ปล่อยให้นักเตะคู่แข่งผ่านบอลตามช่องง่ายๆ
กองหลัง : จอห์น สโตนส์ (อังกฤษ)
ผลงานไม่เหมือนกับตอนเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีหลายครั้งที่ไม่สามารถรับมือกับความแข็งแกร่งของแนวรุก สโลวาเกีย แถมในเกมนั้นยังทำพลาดมหันต์จนเกือบโดนแข้งสโลวักลักไก่ยิงไกลกว่าครึ่งสนามเดชะบุญที่บอลไม่ตรงกรอบ ขณะที่ในเกมรุก สโตนส์ ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สำหรับในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เขาต้องยกระดับฟอร์มการเล่นขึ้นมาให้ได้
กองหลัง : จานลูก้า มันชินี่ (อิตาลี)
ได้รับโอกาสลงเล่นแทน ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ที่ติดโทษแบน แต่ไม่สามารถทดแทนกันได้เลย ไม่มีจังหวะในการพาบอลขึ้นไปแดนหน้าในยามที่ทีมต้องการประตูช่วงท้ายเกม ส่วนการเล่นเกมรับก็ไร้ความแข็งแกร่ง
แบ็กซ้าย : คีแรน ทริปเปียร์ (อังกฤษ)
โดนจับทำหน้าที่มวยแทนในตำแหน่งแบ็กซ้าย แต่ยังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลยตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม จนกระทั่งรอบ 16 ทีมสุดท้าย ไม่มีส่วนในการช่วยเติมเกมรุกให้กับทีม ขณะที่เกมรับก็ยังไว้วางใจอะไรไม่ได้มากนัก แต่ด้วยสถานการณ์ที่จำเป็น ทริปเปียร์ คงต้องรับบทบาทที่ไม่ถนัดต่อไป และถ้ายังทำผลงานได้แค่นี้ บอกเลยว่านี่คือหนึ่งในจุดอ่อนที่ทำคู่แข่งสามารถเล่นงานได้สบายๆ
กองกลางตัวรับ : ไบรอัน คริสตานเต้ (อิตาลี)
ใครที่เป็นแฟนบอลทีมชาติอิตาลี ต้องบอกเลยว่านี่คือนักเตะที่ทำผลงานได้ย่ำแย่เหลือเกินในเกมแพ้ สวิตเซอร์แลนด์ โดย ดาวเตะจากค่าย โรม่า คุมพื้นที่แดนกลางไม่ดี คู่แข่งผ่านบอลเจาะได้ตลอด ที่สำคัญไม่กล้าเล่นไม่กล้าเสี่ยง
กองกลาง : เควิน เดอ บรอยน์ (เบลเยียม)
หนึ่งในจอมทัพที่หลายคนจับตามองว่าจะสร้างความมหัศจรรย์ให้กับ เบลเยียม แต่ในเกมกับฝรั่งเศส สตาร์ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสได้เลย ต้องเจอกับความยากลำบากในการปั้นเกมให้กับแนวรุก แถมหลังจบเกมยังมีพฤติกรรมน่าผิดหวังในการตอบคำถามกับสื่ออีก ต้องบอกว่าฟอร์มในสนามก็แย่พฤติกรรมนอกสนามก็น่าผิดหวังเหลือเกิน
กองกลาง : เฌเรมี่ โดกู (เบลเยียม)
ความรวดเร็วและความคล่องตัวดูเหมือนจะสร้างปัญหาให้กับ ฝรั่งเศส แต่ความเป็นจริงแล้วไม่เป็นอย่างนั้นเลย นอกจากจะไม่มีความอันตรายในเกมบุกแล้ว ยังขาดจินตนาการในการเล่น การใช้ความเร็วโจมตีแนวรับที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ของทัพ "ตราไก่" ถือเป็นการใช้พลังงานที่สูญเปล่า ที่สำคัญการเล่นบอลจังหวะสุดท้ายก็ยังขาดๆ เกินๆ ด้วย
แนวรุกฝั่งซ้าย : ฟิล โฟเด้น (อังกฤษ)
การกลับมาจากได้เห็นหน้าลูกคนที่สามอาจทำให้ โฟเด้น มีแรงกระตุ้นในการยกระดับผลงาน แต่ไม่ใช่เลยเพราะฟอร์มของเขายังคงน่าผิดหวังเหมือนเดิม โดยในเกมกับ สโลวาเกีย ช่วงครึ่งแรกแทบไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรเลย ครึ่งหลังอุตส่าห์ยิงประตูได้แต่โดนวีเออาร์ริบเนื่องจากล้ำหน้า หลังจากนั้ก็แทบไม่ได้มีส่วนในเกมบุกของ อังกฤษ มากนัก เห็นได้ชัดว่ายังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลยในทัวร์นาเมนต์นี้
แนวรุกฝั่งขวา : บูกาโย่ ซาก้า (อังกฤษ)
ดูเหมือน ซาก้า จะมีพลังแฝงในช่วงต้นเกมเพราะมีหลายแมตช์ที่เขามักฟอร์มโดดเด่นในช่วงเวลานี้ แมตช์กับทัพสโลวักก็เช่นกัน เพราะเขาเริ่มต้นเกมด้วยฟอร์มค่อนข้างหวือหวา มีโอกาสสร้างความหวาดเสียวได้หลายครั้ง แต่หลังจากนั้นผลงานค่อนๆ สาละวันเตี้ยลง ก่อนจะถูกจับไปยืนแบ็กซ้ายครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของเกม และผลงานก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แต่ยังได้เล่นจนจบ 120 นาที
หน้าเป้า : โรเมลู ลูกากู (เบลเยียม)
รอบแบ่งกลุ่มผลงานย่ำแย่ และยังไร้โชคเพราะยิงได้ 3 ประตูแต่โดนวีเออาร์ริบคืนหมด ! ส่วนเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟอร์มยิ่งเลวร้ายเป็นสองเท่า เพราะ ลูกากู ได้สัมผัสบอลแค่ 8 ครั้งในครึ่งแรก แม้ครึ่งหลังจะทำได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ที่สำคัญแทบไม่มีโอกาสที่จะยิงประตูเลย งานนี้ "พี่ตู้" ต้องกลับบ้านด้วยผลงานสุดบู่ไร้ประตูในศึกยูโรบนแผ่นดินไส้กรอก
ทอมเม้ง