เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ตัวตึง,เบลเยี่ยม แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง! 5 ข้อ ฝรั่งเศส ลิ่ว 8 ทีมศึกยูโร2024

1. ตราไก่หวนพึ่ง กรีซมันน์

ฝรั่งเศส ภายใต้การคุมทีมของ ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ ตัดสินใจเรียก อองตวน กรีซมันน์ คืนโผตัวจริงหลังใช้งานเขาลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ถูก โปแลนด์ ตีเสมอ 1-1

นอกจากนี้ มาร์กกุส ตูราม มีชื่อคืนสนามเป็น 11 คนแรกเช่นกันส่งผลให้ อุสมาน เด็มเบเล่ กับ แบรดลีย์ บาร์โคล่า หล่นไปนั่งข้างสนาม

สำหรับ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ กัปตันทีม เลส์ เบลอส์ ยังลงบู๊ด้วยการสวมหน้ากากเช่นเดิมหลังได้รับบาดเจ็บจมูกแตกในระหว่างทัวร์นาเมนต์

2. ปีศาจแดงไม่โกงปรับทัพสองราย

"ปีศาจแดงแห่งยุโรป" เบลเยี่ยม โรเตชั่นทีมตัวจริงสองตำแหน่งเช่นกันหลังผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์มาได้โดยมีผลชนะ เสมอ และแพ้อย่างละนัด

โดเมนิโก้ เตเดสโก้ กุนซือสัญชาติอิตาเลี่ยนตัดสินใจดร็อป เลอันโดร ทรอสซาร์ สตาร์ทีม อาร์เซน่อล นั่งเป็นตัวสำรองให้ หลุยส์ โอเพนด้า ลงสนาม

นอกจากนี้ ยานนิค การ์ราสโก้ เป็นอีกรายที่ได้ออกสตาร์ตแทน ยูริ ตีเลอมันส์ ซึ่งได้ลงบู๊เป็นตัวจริงในเกมทิ้งทวนรอบแบ่งกลุ่มที่เสมอกับ ยูเครน แบบโนสกอร์

ด้าน เควิน เดอ บรอยน์ กัปตันทีมวัย 33 ปีลงเล่นเกมนี้เป็นการรับใช้แผ่นดินเกิดนัดที่ 105 พอดี ขณะที่ โดดี้ ลูเคบาคิโอ ตัวรุกจาก เซบีย่า แม้จะพ้นโทษแบนสามารถลงสนามได้ แต่มีชื่อเป็นแค่ตัวสำรองตามคาด

3. เกมกร่อยเกินคาด

จากชื่อชั้นนักเตะของทั้งสองฝ่าย บอกได้เลยว่ามันเข้าข่าย "บิ๊กแมตช์" เนื่องจากต่างก็อัดแน่นไปด้วยสตาร์ดังฝีเท้าดีด้วยกันทั้งนั้น แต่จากที่เห็นมันเป็นเกมที่ชวนง่วงสิ้นดีเนื่องจากต่างก็ฝืดเคืองในจังหวะสอยตาข่ายด้วยกันทั้งคู่อันทำให้เกมเป็นไปอย่างไร้คุณภาพ

หากจะเจาะลึกลงไปในรายละเอียด ฝรั่งเศส สมควรชนะเนื่องจากทีมของ เดส์ช็องส์ มีสถิติที่เหนือกว่าทุกด้านทั้งการครองบอล 55.1%:49.9% อีกทั้งทีมเมืองน้ำหอมได้ยิงมากถึง 19 ครั้ง แต่ส่งบอลเข้ากรอบได้แค่ 2 ครั้งเท่ากับ เบลเยี่ยม ซึ่งได้โอกาสสับไกรวม 5 ครั้งตลอด 90 นาที

อย่างไรก็ดี มันไม่ใช่เกมที่ ฝรั่งเศส แสดงให้เห็นถึงพิษสงการคลำเป้าในจังหวะสุดท้ายเลยเนื่องจากตลอดทั้งเกมดาวเตะเฟรนช์แมนล้วนยิงนกตกปลาด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น กรีซมันน์ ที่ลงบู๊เกมนี้เหมือนไม่มีความมั่นใจ ตลอดจน เอ็มบัปเป้ ที่ไม่มีความคมเอาซะเลยในทัวร์นาเมนต์นี้ และรวมถึง ออเรเลียง ชูอาเมนี่ ที่ถูกวางตัวให้หาโอกาสเข่นจากแถวสองเป็นหลัก แต่ดาวเตะทีม เรอัล มาดริด ซัดบอลหลุดกรอบโดยตลอดแม้จะบีบให้ คูน คาสเทลส์ ต้องเซฟบ้างเหมือนกัน

รวมเบ็ดเสร็จ ฝรั่งเศส ทะยานเข้ารอบแปดทีมได้ก็จริง แต่ถึงตรงนี้พวกเขายังยิงประตูจากจังหวะโอเพ่นเพลย์ในทัวร์นาเมนต์นี้ไม่ได้เลยเนื่องจากแต่ละประตูที่พวกเขาทำได้มาจากลูกโทษ และการสกัดบอลตุงตาข่ายของทีมคู่แข่งซึ่งปรากฏว่าในเกม ยูโร 2024 มีประตูที่ว่านี้เกิดขึ้นมากถึง 9 เม็ดเข้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่า ฝรั่งเศส ยังเป็นทีมเขี้ยวลากดินไม่เปลี่ยนเพราะแม้จะโชว์ฟอร์มได้ไม่น่าประทับใจ แต่พวกเขามีเกมรับที่เชื่อใจได้ และแพ้ยากแพ้เย็นโดยหลังเขี่ย เบลเยี่ยม ตกรอบ 16 ทีมศึก ยูโร 2026 ทีมตราไก่สานผลงานไม่แพ้เกมที่มีความหมายได้ต่อไปเป็นนัดที่ 16 ติดต่อกันแล้วจากผลงานชนะ 12 นัดเสมอ 4 นัด

4. เดส์ช็องส์ เลือกตัวเปลี่ยนถูกต้อง

แม้จะบุกได้ดีกว่า แต่สิ่งที่ ฝรั่งเศส ขาดหายไปในเกมนี้คือการส่งบอลปะทะตาข่ายซึ่งพวกเขาไม่มีความเด็ดขาดแม้แต่น้อยในจังหวะสุดท้ายจึงไม่ได้ทำให้นายทวารฝ่ายตรงข้ามต้องออกแรงเซฟมากมายอะไรนัก

จนในที่สุด เดส์ช็องส์ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวหัวหอกลงไปหมายเผด็จศึก เบลเยี่ยม ให้ได้ในเวลาปกติโดยที่ โคโล่ มูอานี่ ได้ลงเล่นแทน ตูราม ในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย และปรากฏว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

ในรายของกองหน้าทีม อินเตอร์ มิลาน ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่ที่พึ่งของทีมชาติในการทำประตูเนื่องจากจังหวะยิงไม่มีความเฉียบคมแม้จะมีโอกาสประปราย และในเมื่อไม่อาจข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามได้ก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ลูกชายของตำนานคนดังจะโดนเปลี่ยนตัวออก

ขณะเดียวกัน เดส์ชองส์ เสี่ยงส่ง โคโล่ มูอานี่ ลงเล่นได้อย่างถูกต้องด้วยจากการตัดสินใจใช้งานนักเตะตัวสำรองแค่รายเดียวเท่านั้นหลังเล็งเห็นว่าเกมยังขาดๆเกินๆเนื่องจากตัวรุกหลายรายไร้ประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ดาวเตะทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เหนือกว่า ตูราม คือความคล่องตัวแม้จะว่าไปทั้งสองเล่นกันคนละตำแหน่ง และมีสไตล์ที่ต่างกัน แต่ โคโล่ มูอานี่ มีความจัดจ้านที่สูงกว่า และในที่สุดเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้านายคิดถูกที่ส่งเขาลงเล่นจนทีมเมืองน้ำหอมได้ประตูเดียวที่พวกเขาต้องการ

หลังร่วงตกรอบ เบลเยี่ยม หนีไม่พ้นต้องเป็นทีมประเภทวัวเคยขาม้าเคยขี่ให้กับ ฝรั่งเศส เช่นเดิมเนื่องจากพวกเขาแพ้ทีม เลส์ เบลอส์ อีกตามเคยโดยสถิติเผยว่าพวกเขาปราชัยให้กับคู่แข่งรายนี้สามเกมติดต่อกันแล้ว แถมจากการดวลกันในเกม ยูโร 15 นัดหลัง ฝรั่งเศส ชนะ เบลเยี่ยม รวม 8 นัด เสมอ 6 นัด  และแพ้แค่นัดเดียวเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น หากนับรวมทั้ง ฟุตบอลโลก และฟุตบอล ยูโร ฝรั่งเศส ชนะ เบลเยี่ยม ตลอดทั้ง 5 เกมหลังซึ่งเป็นสถิติ 100% ที่ดีที่สุดร่วมของชาติในยุโรปเช่นเดียวกับที่ อิตาลี ชนะ ออสเตรีย ตลอด 5 เกมหลังของทั้งสองรายการใหญ่

5. มี กองเต้ ไว้ไม่ผิดหวัง

ในช่วงที่ เดส์ชองส์ ประกาศรายชื่อนักเตะสู้ศึก ยูโร 2024 หลายคนทึ่งไปตามๆกันที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ได้กลับมารับใช้ชาติอีกรอบหลังหายหน้าไประยะหนึ่งจนคาดว่าเขาน่าจะถูกมองข้ามไปแล้ว

และที่สำคัญ มิดฟิลด์วัย 33 ปีย้ายไปหากินใน ซาอุดิ อาระเบีย กับทีม อัล อิตติฮัด ด้วย การค้าแข้งนอกยุโรปจึงยิ่งทำให้เขาอยู่ไกลหูไกลตา เดส์ชองส์ จนไม่มีใครคิดว่าอดีตดาวเตะทีม เลสเตอร์ และ เชลซี จะมีโอกาสสวมยูนิฟอร์ม เลส์ เบลอส์ อีกหลังพลาดศึก ฟุตบอลโลก ปี 2020 เนื่องจากบาดเจ็บ

กระนั้นก็ดี ก็องเต้ แสดงให้เห็นว่าเขายังเล่นในเกมระดับสูงได้อย่างไม่มีปัญหาจากความมีวินัย รู้หน้าที่ของตัวเอง และเน้นเล่นอย่างรัดกุมแต่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมเกมได้อย่างน่ายกนิ้วให้

ยิ่งไปกว่านั้น ถึงขณะนี้ กองกลางร่างเล็กซึ่งแทบไม่เคยฟอร์มตกเลยสร้างชื่อด้วยการเป็นนักเตะที่ลงเล่นเกม ยูโร โดยไม่เคยแพ้เลยมากนัดที่สุดในประวัติศาสตร์ไปแล้วจากผลงานพาทีมตราไก่กำชัย 7 นัด และเสมอ 5 นัดจากการลงสนาม 12 นัด