สเปน ยังคงโหดสมเป็นทีมเต็งแชมป์ ยูโร 2024 หลังพวกเขาระเบิดฟอร์มสุดยอดพลิกสถานการณ์จากตามหลังหนึ่งประตูกลับมาชนะ จอร์เจีย 4-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายนนี้
ทัพ "กระทิงดุ" เล่นตามสไตล์ของตัวเองที่เล่นเกมรุกเป็นหลัง ขณะที่ จอร์เจีย มาตามแผนรอจังหวะสวนกลับ และได้ผลจากการเปิดบอลกดดันแนวรับสเปนจนทำเข้าประตูตัวเอง ในนาทีที่ 18
อย่างไรก็ตาม ด้วยความนิ่งผสมกับความเฉียบคม เหล่าขุนพลของกุนซือหลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ จัดการทวงคืนแบบทบต้นทบดอก และนั่นเป็นบทพิสูจน์ให้โลกได้เห็นแล้วว่าทำไม สเปน ถึงเป็นทีมที่อันตรายทุกกระเบียดนิ้ว
1. ควารัตสเคเลีย ป่วน สเปน หัวหมุน
คำพูดของ จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ นายด่านจอมหนึบทีมชาติจอร์เจีย ที่ยก ควิชา ควารัตสเคเลีย เป็นนักเตะที่เก่งกว่าผู้เล่นทีมชาติสเปนทุกคน ดูเหมือนจะเป็นการพูดอวยเพื่อนร่วมชาติเกินจริง และผลงานของนักเตะในแมตช์นี้พิเศษแล้วว่าแทบไม่เกินจริงมากนัก
ก่อนเริ่มเกมทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สเปน เหนือกว่า จอร์เจีย ทุกขุมกำลัง แต่ถ้าจะมีคนที่สามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับทัพ "กระทิงดุ" ได้คงมีแค่ ควารัตสเคเลีย ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ทุกครั้งที่ สตาร์จอมทัพ นาโปลี ได้บอล หรือมีพื้นที่ในการใช้ความเร็ว เขาทำให้เกมรับของ สเปน ต้องเจอกับงานหนักจริงๆ และประตูที่ จอร์เจีย ซัดขึ้นนำ 1-0 ก็มาจากการที่ ควารัตสเคเลีย วิ่งเข้าไปกดดัน โรแบ็ง เลอ นอร์กม็องด์ ทำให้สกัดบอลพลาดเข้าประตูตัวเอง
หลังจากนั้นทุกอย่างก็เข้าทาง จอร์เจีย ที่จ้องจะใช้แผนสวนกลับเร็วเล่นงานสเปน โดยมี ควารัตสเคเลีย ทำหน้าที่ปั่นป่วน และก็มีหลายจังหวะที่ทีมจะได้ประตูแต่น่าเสียดายที่ขาดความเฉียบคม
ขณะที่ครึ่งหลัง ควารัตสเคเลีย มีโอกาสที่จะทำให้บ้านเกิดได้เปรียบอีกครั้ง จากการลากบอลหนีคู่แข่งถึง 3 คนในแดนตัวเอง ก่อนจะตั้งใจตะบันไกลกว่าครึ่งสนาม บอลผ่าน อูไน ซิม่อน ไปแล้ว แต่โชคไม่พาวาสนาไม่ส่งบอลเข้าข้างตาข่ายเท่านั้น
น่าเสียดายที่หลังจากจังหวะนั้น สเปน ก็เริ่มตั้งเกมได้ และจัดการบดขยี้อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเมื่อพวกเขาได้ประตูขึ้นนำ ทุกอย่างก็อยู่ในกำมือ ขณะที่ ควารัตสเคเลีย ก็แทบหมดพิษสงเนื่องจากทีมไม่สามารถใช้แผนสวนกลับเร็วได้อีกแล้ว
2. อย่ากระตุกเขากระทิงดุ
กุนซือวิลลี่ ซาญอล วางแท็กติกแบบเจียมเนื้อเจียมตัวเพราะรู้ว่า จอร์เจีย เป็นรองทุกกระเบียดนิ้ว และวิธีเดียวที่จะเล่นงาน สเปน ได้ก็คือเล่นอย่างอดทน และรอโอกาสสวนกลับเท่านั้น
แน่นอนว่า ซาญอล มองเห็นหนึ่งจุดเด่นของทัพ "กระทิงดุ" ที่อาจจะเป็นจุดด้อยนั่นก็คือการเล่นเกมรุกแบบบ้าคลั่ง และนั่นทำให้ กุนซือชาวฝรั่งเศส ต้องกระตุ้นลูกทีมให้เล่นอย่างมีสมาธิและรอคอยความผิดพลาดของคู่แข่ง
แผนของ ซาญอล บรรลุผลเมื่อพวกเขาอาศัยจังหวะสวนกลับเร็ว โดยขึ้นบอลทางฝั่ง โอตาร์ คาคาบัดเช่ ซึ่งได้โอกาสเปิดบอลเข้าไปกลางประตู โดยมี ควารัตสเคเลีย วิ่งเข้ามากดดันทำให้ เลอ นอร์กม็องด์ สกัดบอลพลาดเข้าประตูตัวเอง
ทุกอย่างเป็นไปตามแท็กติกที่วางเอาไว้ นั่นก็คือรอจังหวะ สวนกลับ ยิงประตูนำ และหลังจากนั้นก็รอคอยโอกาส ซึ่งทั้งหมดนี้เกือบจะสมบูรณ์แต่ขาดอย่างเดียวนั่นก็คือการจบสกอร์ที่เฉียบคม และในเมื่อฆ่า "กระทิง" ไม่ตาย งานนี้ก็คือโดนขวิดใส่แตกได้เลย
หลังจากนั้น สเปน กลับมาเล่นอย่างมีสมาธิ พวกเขาได้ประตูตีเสมอในช่วงครึ่งแรก จากนั้นครึ่งหลังทุกอย่างก็เข้าทาง และบทสรุปสุดท้าย จอร์เจีย โดนกระทิงขวดไส้แตกกลับมาอย่างชอกช้ำระกำใจ
3. ยามาล-วิลเลี่ยมส์ สองจรวดดาวรุ่ง
ผลงานของขุนพลกระทิงดุในแมตช์นี้ต้องบอกว่าแทบจะสมบูรณ์แบบไม่มีใครโดดเด่นเกินหน้าใคร แต่ถ้าจะให้เลือกผู้เล่นที่สร้างปัญหาให้กับ จอร์เจีย จนปั่นป่วนคงหนีไม่พ้นสองแนวรุกริมเส้นนั่นก็คือ นิโก้ วิลเลี่ยมส์ และ ลามีน ยามาล
ช่วงต้นเกมจะเห็นได้อย่างชัดเจน วิลเลี่ยมส์ ขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายได้อย่างดุดัน โดยประสานงานกับ มาร์ก กูกูเรย่า ซึ่งเกือบช่วยให้ สเปน ได้ประตูนำหลายครั้งหลายคน แม้หลังจากที่โดน จอร์เจีย ขึ้นนำ ทัพ "กระทิงดุ" ยังคงขึ้นเกมทางซ้ายและยังคงอันตรายอย่างต่อเนื่อง
จังหวะที่ได้ประตูตีเสมอ 1-1 เป็นการประสานงานอย่างยอดเยี่ยมระหว่าง วิลเลี่ยมส์ กับ โรดรี้ ก่อนที่ กองกลาง "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะซัดเต็มข้อบอพุ่งเลียดเสียบเสาไกลอย่างงดงาม ขณะที่ครึ่งหลังเจ้าตัวยังโชว์การกระชากบอลเข้าไปจบสกอร์อย่างสุดคมด้วย
ขณะที่ ยามาล ครึ่งแรกอาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับ วิลเลี่ยมส์ แต่ก็อันตรายทุกครั้งที่ครองบอล แต่ครึ่งหลัง สตาร์ดาวรุ่งวัย 16 ปีระเบิดฟอร์มอย่างโหดสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมหลายครั้งหลายหน ก่อนจะเปิดบอลให้ ฟาเบียน รุยซ์ โขกขึ้นนำ 2-1
หลังจากนั้น ยามาล ยังมีโอกาสยิงประตูแต่น่าเสียดายที่ทำไม่ได้ งานนี้บอกเลยว่าทั้งสองคนอันตรายสุดๆ และถ้าหากเล่นได้เข้าฝักแบบนี้ แนวรับเยอรมนีคงต้องเจอเรื่องปวดหัวตั้งแต่เริ่มจนจบเกมแน่นอน
4. รับก็แน่นรุกก็โหด
หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ สเปน ชุดนี้อันตรายอย่างมากก็คือการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่น โดยจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่เสียประตูเลยในรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะมาโดนเปิดซิงในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
กุนซือ หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ สร้างสมดุลให้กับทัพ "กระทิงดุ" ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยจะเห็นได้ว่าผู้เล่นแนวรับของสเปน ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่คุมเกมรับเท่านั้น แต่จะคอยช่วยดันเกมบุกด้วย
คู่ฟูลแบ็กอย่าง ดานี่ การ์บาฆาล กับ กูกูเรย่า ขึ้นมาเติมเกมช่วยเกมรุกระหว่าง ยามาล และ วิลเลี่ยมส์ ตลอด แต่ในขณะเดียวกันมีความรับผิดชอบในเกมรับ อย่างไรก็ตามจังหวะที่เสียประตู กูกูเรย่า พยายามที่จะเข้ามาปิดจังหวะของ คาคาบัดเช่ แต่ไม่สำเร็จ และทำให้ จอร์เจีย ได้โอกาสจบสกอร์อย่างที่เห็น
หลังจากเสียประตู สเปน ก็กลับมาตั้งลำได้ และเล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่งเหมือนเดิม ขณะที่เกมรุกของพวกเขาอันตรายทุกวินาทีอยู่แล้ว และสถิติการสร้างโอกาสยิงประตู 36 ครั้ง เข้ากรอบ 13 ครั้ง ได้ 4 ประตู เป็นเครื่องการันตีความโหดของแนวรุก สเปน ได้เป็นอย่างดี
5. บิ๊กแมตช์ก่อนเวลา
คอลูกหนังทั่วโลกพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือบิ๊กแมตช์ก่อนเวลา เพราะในรอบก่อนรองชนะเลิศ สเปน ต้องพบกับ เยอรมนี งานนี้บอกเลยว่าทีมไหนชนะโอกาสที่จะไปสุดทางมีสูงเลยทีเดียว
สำหรับฟอร์มการเล่นของ สเปน และ เยอมนี แทบจะไม่แตกต่างกัน เพราะพวกเขามีเกมรุกที่ดุดัน และเกมรับที่แข็งแกร่งทั้งคู่ แถมขุมกำลังที่ซุ้มม้านั่งสำรองก็ค่อนข้างสูสีกันเลยทีเดียว
งานนี้ขึ้นอยู่กับกึ๋นของเทรนเนอร์ระหว่าง เด ลา ฟวนเต้ กับ ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ในการจัดวางแท็กติก และแนะนำลูกทีมให้เล่นตามแผนที่วางเอาไว้ให้แม่นยำ และผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
กระนั้นทัพ "อินทรีเหล็ก" อาจจะมีข้อได้เปรียบตรงที่พวกเขามีผู้เล่นคนที่ 12 หรือเหล่ากองเชียร์ที่พร้อมเข้ามาให้กำลังใจกันแบบล้นหลาม เพราะการได้เป็นเจ้าภาพถือเป็นโอกาสทองที่จะนำโทรฟี่ "อองรี เดอ โลเนย์" กลับมาประดับบนดินแดนไส้กรอก หลังห่างหายไปนานกว่า 28 ปี หรือแชมป์ครั้งล่าสุดในปี 1996
อย่าลืมว่าการที่ เยอรมนี ได้ดวลกับ สเปน ถือเป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะได้ล้างแค้น จากการที่พ่ายแพ้ให้กับทัพ "กระทิงดุ" ในรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูโร 2008 ด้วยสกอร์ 0-1
ทอมเม้ง