สำหรับชาติที่เมื่อราวสามทศวรรษที่แล้วยังคงแบ่งแยกดินแดนเป็นตะวันตกกับตะวันออกอยู่ ก็ไม่มีอะไรที่จะมัดใจคนทั้งหมดให้รวมกันได้เท่าฟุตบอล
"Deutschland Deutschland Deutschland" ดังออกมาเป็นระยะๆตั้งแต่หัวถนนเส้นหนึ่งไปยังอีกสุดหัวถนนอีกเส้นหนึ่ง
ว่าไปก็คล้ายว่าเป็นวันชาติของเยอรมันก็ได้
เกมเตะสามทุ่ม(เวลาท้องถิ่น)แต่แค่บ่ายเศษเท่านั้นบรรยากาศก็เริ่มก่อตัว หันไปทางไหนก็เจอแต่สีสามสีอันประกอบด้วย ดำ- แดง-ทอง บ้างใส่หมวกทรงโบราณมา บ้างถือธงมาโบกสะบัดราวกำลังไปรบเพื่อกอบกู้อิสรภาพ บ้างมากันเป็นกลุ่มลงทุนทำถ้วยแชมป์จำลองมาเลย
จากที่ไม่อยากหวังก็มีความเชื่อมั่นสูงขึ้น
ด้วยผลงานตั้งแต่เกมเปิดสนามมา ด้วยฟอร์มของนักเตะหลายๆคนในทีมและแน่นอนด้วยความได้เปรียบที่เป็นเจ้าภาพก็ย่อมทำให้นาทีนี้แววตาของชาวดอยทช์ทุกคนเปล่งประกาย มันเป็นไปได้ที่พญาอินทรีจะสยายปีกบนน่านฟ้าองอาจอีกครั้ง
สำหรับคนดูบอลรุ่นเก่าหน่อยย่อมเข้าใจถึงยี่ห้อเมด อิน เยอรมัน
ดีกรีแชมป์โลก 4 สมัยและแชมป์ยูโร 3สมัย (เข้าชิงถึง6ครั้งไม่มีใครมากเท่า) แต่แน่นอนระยะหลังวงการลูกหนังเมืองเบียร์ตกลงไป ชัยชนะเหนือเดนมาร์ก 2-0 ก็ยังเป็นการทะลุรอบแปดทีมนับแต่ยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศส
สองเด็กน้อยชาวเยอรมันถือป้ายมาเชียร์ ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ กับ จามาล มุสเซียล่า โดยเฉพาะ นี่เรียกว่าแรงบันดาลใจ
บอลโลกสองครั้งหลังจอดแค่รอบแบ่งกลุ่ม ส่วนชิงแชมป์ยุโรปปี 2021 ก็พ่ายให้คู่อริ อังกฤษ หมดรูปที่ เวมบลีย์
นั่นเองที่ทำให้ย้อนไปไม่กี่เดือนก่อนนี้ถามแฟนเยอรมันคนไหนก็ได้รับการส่ายหัวคืนมาถึงโอกาสจะชูถ้วยในบ้านตัวเอง
"Nagelsmann Nagelsmann Nagelsmann" เสียงเรียกถึงฮีโร่คนล่าสุดของพวกเขาโดยแม้เกมจบไปพักใหญ่แล้วก็คงมีกองเชียร์เยอรมันหลักร้อยได้ไม่ออกไปไหน
จูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ กำลังเขียนเทพนิยายบทใหม่ขึ้น เขาเองเคยให้สัมภาษณ์ว่าปรารถนาสูงสุดของการทำทีมในยูโรหนนี้ ได้แก่การสร้าง "Sommermärchen 2.0" ซึ่งแปลตามตัวได้ว่าเทพนิยายฤดูร้อนภาค2
ภาคแรกก็เป็นปี 2006 ที่ทีมชุดนั้นมีผลงานน่าประทับใจคนทั้งชาติ ต่อให้ไม่ได้แชมป์ก็ตาม ทว่าทุกคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า ทุกคนกลับมาสนุกกับการใช้ชีวิตโดยไม่มีการคิดถึงว่าอดีตเคยผ่านอะไรมาบ้าง ข้อนี้ ฟิลิปป์ ลาห์ม ในฐานะผอ.ฝ่ายจัดการแข่งขันก็เคยกล่าวไว้ "ผมต้องการให้ทัวร์นาเมนต์นี้ทำให้ทุกคนกลับมาปรองดองกันอีกครั้ง"
มันไม่ใช่เกมที่ง่ายหรอกเพราะถึงต่อให้ออกสตาร์ทเกมทางขุนพลเจ้าบ้านจะโหมเกมรุกใส่หนักตามเสียงเชียร์ในสนามสีเหลืองของ ดอร์ทมุนด์ แต่เกมรับของ เดนมาร์ก ก็ยังจัดระเบียบได้ดี อีกทั้ง คาสเปอร์ ชไมเคิ่ล ก็โชว์ปฎิกิริยาเซฟสวยๆได้ 2-3 ครั้ง
ฟุตบอลก็แบบนี้ พอทำไม่ได้ก็มักเป็นอีกฝ่ายที่ขอปล่อยหมัดบ้าง
ขณะที่โมเมนตัมกำลังเหวี่ยงมาหา ทีมโคนม ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ที่เป่านกหวีดส่งสัญญาณให้ผู้เล่นสองทีมเข้าห้องพักเพราะตอนนั้นลมเริ่มกรรโชกแรง ฝนเทลงหนักและสำคัญที่สุดมีเสียงฟ้าร้องเตือนออกมาด้วย
เกมหยุดไปประมาณ 25 นาที แน่นอนว่าช่วงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายก็กลับเข้าไปติวเข้มแท็กติกอีกครั้งก่อนออกมาเตะอีกไม่นานก็จบครึ่งแรก
มันก็มีเหตุผลชวนเชื่อว่าบางทีนี่คือปีของเยอรมัน
นอกจากเรื่องฟอร์มการเล่นแล้ว เรื่องของโชคก็เช่นกัน การที่โดนทะลวงตาข่ายไปก่อนแต่ VAR มาช่วยไว้กับการล้ำหน้าเพียงปลายนิ้ว (อีกแล้ว) แต่ที่ตลกร้ายที่สุดก็คนยิงได้กลายเป็นคนทำเสียจุดโทษในอีกไม่กี่นาทีต่อมาซะงั้น
กล้องแพนเข้าหา โยอาคิม อันเดอร์เซ่น ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดผ่านแววตา
ก่อนเกมหลายชั่วโมงเดินไปทางไหนในเมืองก็เจอแต่ธงชาติเยอรมัน
ใครจะเชื่อว่าจากที่วิ่งดีใจสุดเหวี่ยงต้องมากุมหัวจากสิ่งที่ตัวเองก็คงไม่ตั้งใจยกมือมาขวางลูกโยนหรอก จังหวะอย่างนั้นมือต้องออกธรรมดา
แต่ถึงจะไม่ชอบ กฎก็ต้องเป็นกฎ
ถูกต้อง เส้นทางแห่งฝันของชาวดอยทช์ยังมีอุปสรรคใหญ่รออยู่ กระนั้นมันก็ชอบธรรมทุกประการที่พวกเขาจะหวังว่าไดไปเบอร์ลินในวันที่ 14 กรกฎาคม
ทีมชุดนี้มีส่วนผสมลงตัวระหว่างตัวเก๋ากับตัวสด แกนหลักนำโดย มานูเอล นอยเออร์, โทนี่ โครส, อิลคาย กุนโดอัน และ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ สี่รายชื่อดังกล่าวติดทีมชาติรวมกัน 387 นัด
เครดิตทั้งให้นาเกลส์มันน์กับวัยแค่ 36 ต้องมาแบกรับแรงกดดันของคนทั้งชาติ มันไม่ง่ายเลยครับ เขาเองก็ยังยึดมั่นในแนวทางตัวเองมากกว่าฟังเสียงสื่อหรือแฟนบอลในการเลือกตัว ประชามติอยากได้ นิคลาส ฟูลครุก หัวหอกเจ้าเวหาตัวจริง เจ้าตัวยังเลือก ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่หลากหลายกว่าต่อไป(และก็มีส่วนกับเกมเยอะด้วย)
นี่ก็คือบทหนึ่งของเทพนิยายฤดูร้อน 2.0
ในสนามของสโมสรที่มีเพลงประจำตัวที่กองเชียร์มักร้องเสมอในทุกๆเกม ท่อนหนึ่งในนั้นก็เข้ากับเกมเยอรมันท่ามกลางสายพายุเมื่อคืนวันเสาร์-When you walk through a storm Hold your head up high
"ไก่ป่า".....