เบลเยียม รักษามาตรฐานการเล่นในการปะทะกับ ยูเครน โดยพวกเขาสร้างโอกาสได้หลายครั้งแต่ขาดความเฉียบคม ทำให้จบเกมเสมอกัน 0-0 ในศึกยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี นัดสุดท้าย เมื่อวันพุธที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยการแบ่งแต้มในแมตช์นี้่สร้างความแตกต่างราวฟ้ากับเหว เพราะมันทำให้ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" จบอันดับ 2 ด้วยการมี 4 คะแนน ส่วน ยูเครน มี 4 แต้มเท่ากันแต่ต้องตกรอบเพราะประตูได้เสียด้อยกว่าคู่แข่งร่วมกลุ่ม
ฟุตบอล ยูโร 2024 กลุ่ม อี (นัดสุดท้าย)
วันพุธที่ 26 มิถุนายน 2567
ยูเครน - เบลเยียม
สนาม : สตุ๊ตการ์ท อารีน่า
โดเมนิโก เตเดสโก้ กุนซือทีมชาติเบลเยียม ต้องการชัยชนะอย่างมาก โดยส่ง เควิน เดอ บรอยน์ ทำหน้าที่ปั้นเกมแดนกลาง ขณะที่สามแนวรุกทั้ง โรเมลู ลูกากู, เฌเรมี่ โดกู และ เลอันโดร ทรอสซาร์ พร้อมเต็มสูบเพื่อกระซวกตาข่าย ขณะที่ ยูเครน มีการปรับทัพเมื่อตัดสินใจดร็อป 2 แข้งสำคัญได้แก่ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ และอันเดร ยาร์โมเลนโก้ นั่งดูเพื่อนในซุ้มม้านั่งสำรอง ส่วน มิไคโล มูดริค ไม่มีชื่ออยู่ในทีมสำหรับแมตช์นี้
เปิดฉากทั้งสองทีมเล่นแบบประคองตัว แต่ เบลเยียม ได้เสียวมากกว่าเมื่อในนาทีที่ 6 เดอ บรอยน์ ผ่านบอลให้ ลูกากู ได้หลุดเข้าไปยิงแต่ไม่ถนัดทำให้ อนาโตลี ตรูบิน รับบอลได้แบบสบายๆ
ความผิดพลาดของ เวาต์ ฟาส บริเวณกลางสนามทำให้ ยูเครน ได้โอกาสตัดบอลลากเข้าไปบริเวณใกล้กรอบเขตโทษ ก่อนที่ อาร์เต็ม ดอฟบิค จะซัดเต็มแรงแต่บอลปลิ้นออกหลังแบบไม่มีลุ้น
ยูเครน เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้ และใช้จังหวะสวนกลับสร้างความปั่นป่วนแนวรับ เบลเยียม โดยนาทีที่ 27 ดอฟบิค ใช้ความเร็วล็อกบอลในเขตโทษ แต่ยึกยักไม่ยอมยิงสุดท้ายส่งให้ จอร์จี้ ซูดาคอฟ ซัดไกลบอลเหินข้ามคานแบบสบายอุรา
ในนาทีที่ 33 เบลเยียม ได้ฟรีคิกระยะเกือบ 25 หลา และ เดอ บรอยน์ จัดการหลอกยิงเสาแรกโดย ตรูบิน กลับตำแหน่งไม่ทันแล้ว แต่น่าเสียดายที่บอลพุ่งเข้าข้างตาข่าย ทำให้สกอร์ยังคงเสมอกันอยู่ 0-0 เท่าเดิม
นาทีที่ 42 เบลเยียม เกือบโดนทีเด็ดของ ยูเครน อีกครั้ง เมื่อ โรมัน ยาเรมชุค หลุดเข้าไปในเขตโทษ แต่แทนที่จะตัดสินใจยิงดันเลือกส่งไปเสาไกล ซึ่ง ดอฟบิค เข้าไม่ทัน ทำให้พลาดโอกาสยิงประตูอีกครั้ง
เข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เลอันโดร ทรอสซาร์ มีโอกาสกระชากบอลไปจนถึงเส้นหลัง แต่ไม่โยนโดยเลือกส่งคืนให้ เดอ บรอยน์ ที่ยืนโล่งๆ บริเวณกรอบเขตโทษ ก่อนซัดเต็มแรงแต่เข้ามือ ตรูบิน สบายๆ ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีฝ่ายไหนทำอะไรกันได้เสมอกัน 0-0
ครึ่งแรก ยูเครน 0-0 เบลเยียม
เข้าสู่ครึ่งหลังเกมยังคงออกแนวรัดกุมทั้งสองฝ่าย แต่ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" สร้างโอกาสได้มากกว่า อย่างไรก็ตามพวกเขายังขาดความเฉียบคมทำให้ไม่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้
เข้าสู่นาทีที่ 57 โดกู มีโอกาสได้บอลหลุดไปทางฝั่งซ้าย และปาดบอลเข้าไปกลางประตู น่าเสียดายที่ห่างตัว โรเมลู ลูกากู ไปพอสมควรทำให้เขาไม่สามารถทำประตูได้
ในนาทีที่ 63 ความผิดพลาดในแดนกลางของ ยูเครน ทำให้ เดอ บรอยน์ มีโอกาสได้บอล และส่งให้ ลูกากู ซึ่งลากจี้เข้าไปบริเวณกรอบเขตโทษก่อนที่จะซัดด้วยซ้ายแต่บอลเบาเป็นนุ่มทำให้ ตรูบิน รับเข้ามือแบบสบายๆ
เบลเยียม เกือบได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 73 จากจังหวะที่ ยานนิค การ์ราสโก้ ได้ซัดเต็มข้อแต่เซฟของ ตรูบิน แต่บอลมาเข้าทาง โดกู ที่พยายามเลี้ยงหนแนวรับ ยูเครน และซัดเต็มแรงแต่ติดบล็อก
อีกหนึ่งนาทีถัดมา ยูเครน ได้สวนกลับเมื่อ ดอฟบิค ได้บอลเลี้ยงเข้าไปในเขตโทษ แต่สุดท้ายไม่สามารถเลี้ยงผ่าน เวาต์ ฟาส ทำให้ทีมพลาดโอกาสยิงประตู เข้าสู่นาทีที่ 79 ดอฟบิน ได้โอกาสอีกครั้งแต่ดันซัดไปเข้าข้างตาข่าย
นาทีที่ 83 ยูเครนได้ เตะมุม และ รุสลัน มาลินอฟสกี้ ตั้งใจหลอกยิงโดยบอลพุ่งกำลังจะเข้าประตูอยู่แล้ว แต่ คูน คาสเทลส์ ไหวตัวทันกลับมาป้องกันเอาไว้ได้หวุดหวิดทำให้ เบลเยียม รอดจากการเสียประตู
ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ยูเครน พยายามจะทำประตูให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องตกรอบ แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ จบเกมเสมอกันแบบไร้สกอร์ ทำให้ เบลเยียม เก็บเพิ่มเป็น 4 คะแนนคว้าอันดับ 2 ของกลุ่ม ส่วน ยูเครน มีแต้มเท่ากัน แต่ประตูได้เสียติดลบ 2 (-2) รั้งอันดับ 4 ต้องกลับบ้านอย่างเจ็บปวด
ยูเครน (4-3-3) : อนาโตลี ตรูบิน - โอเล็กซานเดอร์ ติมชิค, อิลลีย่า ซาบาร์นี่, โอเล็กซานเดอร์ ซวาต็อค (อันเดร ยาร์โมเลนโก้ น. 81), มิโกล่า มัตวิเยนโก้ (กัปตันทีม), วิตาลี่ มิโคเลนโก้ (โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ น.58) - จอร์จี้ ซูดาคอฟ, โวโลดิมีร์ บราจโก้ (ตารัส สเตปาเนนโก้ น.70) , มิโกล่า ชาปาเรนโก้ (วลาดิสลาฟ วานัต น.70) - อาร์เต็ม ดอฟบิค, โรมัน ยาเรมชุค (รุสลัน มาลินอฟสกี้ น.70)
เบลเยียม (4-2-3-1) : คูน คาสเทลส์ - ยาน แฟร์ทองเก้น, เวาต์ ฟาส, อาร์กตูร์ เตอ๊าต, ติโมตี กัสตาญ - ยูริ ตีเลอมันส์ (โอเรล ม็องกาล่า น.62) , อมาดู โอนาน่า - เฌเรมี่ โดกู (โยฮัน บากาโยโก้ น. 77) , เควิน เดอ บรอยน์ (กัปตันทีม), เลอันโดร ทรอสซาร์ (ยานนิค การ์ราสโก้ น.62) - โรเมลู ลูกากู (โลอีส โอเปนด้า น.90)