มันเหมือนไปไหนก็ต้องเจอ...
จะสถานที่สำคัญประจำเมือง จะตามถนนซอกซอยที่ขอให้มีเบียร์ขาย จะตามสนามต่างๆที่ต่อให้แม้ว่าชาติของพวกเขาจะไม่ได้ลงแข่ง
"NO Scotland No Party"บทเพลงที่ไปไหนก็ต้องได้ยิน
ตั้งแต่วันเปิดสนามแล้วที่เจอกองเชียร์สกอตแลนด์เต็มไปหมดในใจกลางโคโลญจน์ นึกออกใช่ไหมว่าเกมนั้นเตะที่มิวนิคแต่ก็ยังคงมีกองทัพตาร์ตันนับหมื่นยกพลมาโดยที่ไม่มีตั๋วในมือ
ผมสงสัยว่าพวกเขามากันทำไม ค่าใช้จ่ายก็ใช่จะถูกยิ่งบอลทัวร์นาเมนต์ด้วยแล้ว ทุกอย่างแพงไปหมด
"เราอยากมาร่วมสร้างบรรยากาศ เราต้องการแสดงพลังของความเป็นชาวสกอตต์ออกมาต่อให้เราจะไม่ใช่ชาติใหญ่ก็ตาม"
ฟังแล้วหัวใจพองโตว่าคนอะไรจะรักในประเทศชาติมากเพียงนี้
ก็ยังได้รับรู้ต่อมาด้วยจำนวนกองทัพตาร์ตันที่เคลื่อนเข้ามาในแผ่นดินร่ำรวยสายพันธุ์เบียร์มีสูงถึงสองแสนชีวิต นั่นจึงเข้าใจได้ว่าไปไหนถึงต้องเจอ เอาว่าเจอบ่อยกว่าแฟนอังกฤษอีกด้วยซ้ำไป
สำคัญคือพวกเขาแทบทุกคนน่ารัก ไนซ์ เป็นกันเองรวมถึงชอบทำตัวสนุกสนาน ร้องรำทำเพลงอะไรไป มีแซวเพื่อนบ้านบ้างตามประสา
"We've got McGinn, Super John McGinn, I just don't think you understand"อีกเพลงที่ต้องได้ยินเสมอ
(แฟนสกอตแลนด์มาเยอรมันกันหลักสองแสนคน หลายคนมาแบบไม่มีตั๋วบอลแต่ก็แค่อยากมาเอาใจเชียร์ชาติตัวเอง นี่คือบริเวณโบสถ์หลักของโคโลญจน์)
เมื่อคืนวันพุธเป็นอีกครั้งที่ผมได้โอกาสสัมผัสถึงเลือดรักชาติอันเข้มข้นของคนชนชาติหนึ่งที่มีประชากรราวห้าล้านเศษ ความจริงก็ไม่ได้ประหลาดใจนักเนื่องจากเคยสะพายเป้ขึ้นไปเยือนพวกเขาอยู่บ่อยๆ ไปมาแล้วหลายพื้นที่ตั้งแต่กลาสโกว, เอดินเบิร์ก, ดันดีจนถึงอเบอร์ดีน
ตอนดนตรีเพลงชาติบรรเลงขึ้นก็ทำให้ขนลุก เสียงดังมาก ดังแบบก้องกังวาลจับได้ถึงการเปล่งออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
การแพ้อย่างหมดรูปให้เยอรมันเกมเปิดสนาม1-5ก็ชัดเจนว่าทางสตีฟ คล้ากได้ปลุกกระตุ้นนักเตะได้ดี ทุกคนใส่เต็มร้อย ต่อให้คู่แข่งอย่างสวิตเซอร์แลนด์ถือเป็นประเทศที่ไม่ได้ธรรมดาเลย เป็นสมาชิกขาประจำบอลทัวร์นาเมนต์โดยเข้ารอบน็อกเอาต์มา5ครั้งติดแล้วด้วย(มีแค่ฝรั่งเศสทำได้เท่า)
ถ้าไม่สะเพร่าพลาดเองก็อาจได้สามแต้มไปแล้ว
อย่างไรก็ตามจังหวะนั้นต้องให้ชมเชอร์ดาน ชากิรี่ด้วยที่ยังรักษาจุดเด่นตัวเองได้ บอลที่ส่งคืนหลังจากแอนโธนี่ รัลส์ตันไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งเลย ปั่นโค้งจังหวะแรกมุดเสียบใต้คานงดงาม
ชากิรี่อายุ32แล้ว บางอย่างก็ไม่เหมือนเดิมธรรมดา หากเขาได้นำตัวเองไปถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำประตูได้ในทุกทัวร์นาเมนต์ตลอด6ครั้งที่ผ่านมา(3 ยูโรและ3เวิล์ด คัพ)
วงการลูกหนังสกอตแลนด์ตกต่ำลงมาจากสมัยก่อน ยุคหนึ่งก็ต้องเจอนักเตะที่ค้าสตั๊ดในลีกสูงสุดอังกฤษเต็มไปหมด ชุดนี้เหลือแค่แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, จอห์น แม็กกินน์, ไรอัน คริสตี้, บิลลี่ กิลมอร์, สจ๊วร์ต อาร์มสตรองและเช อดัมส์
(กองเชียร์สวิสกลุ่มนี้ไอเดียเก๋ ทำป้ายบอกว่าเครื่องเป่าประจำชาติของพวกเขาเจ๋งกว่าของสกอตแลนด์)
ทว่าตรงๆก็มีสามรายแรกเท่านั้นที่ถือว่าเชิดหน้าชูตาพวกสกอตติช
อีกเหตุผลก็มาจากทั้งเซลติกกับเรนเจอร์สต่างอยู่ในช่วงขาลง พวกเขาอาจจะผลัดกันครองแชมป์ในลีกตัวเองแต่คุณภาพของทีมได้ลดลงไป จากที่ครั้งหนึ่งเคยเรียกร้องอยากมาร่วมพรีเมียร์ลีก ตอนนี้คงทำได้ดีสุดแค่ไปแชมเปี้ยนชิพ
ช่างเหลือเชื่อว่านี่คือทัวร์นาเมนต์ที่สองเท่านั้นนับจากบอลโลกปี98
ผลเสมอกับสวิส1-1ก็ทำให้ความหวังของสกอตแลนด์ยังมีโดยต้องเอาชนะฮังการีในเกมสุดท้ายให้ได้เพื่อว่าอย่างน้อยที่สุดมีโอกาสเป็นทีมที่สามดีที่สุดเข้าน็อกเอาต์
เกมจบพักใหญ่ ก็ปาไปจะเที่ยงคืนแล้วแต่ด้านนอกสนามของโคโลญจน์ยังคงเจอพวกตาร์ตันเดินกอดคอร้องเพลงกัน
"No Scotland No Party"
"ไก่ป่า"