ทีมชาติ อังกฤษ ประเดิมสนามในเกม ยูโร 2024 ด้วยการคว้าชัยชนะเหนือ เซอร์เบีย ได้สำเร็จในการลงสนามเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มิ.ย.แต่ยังไม่ได้ฉายฟอร์มเต็งแชมป์อย่างที่ร้านรับพนันพากันอุ้มชูเนื่องจากทีม สิงโตคำราม เฉือนชนะคู่ปรับได้แบบจุ๋มจิ๋มแค่ 1-0 เท่านั้นจากลูกโขกของ จู๊ด เบลลิ่งแฮม ในช่วงต้นเกมซึ่งหากไม่ได้ความจัดจ้านของดาวเตะทีม เรอัล มาดริด ช่วยเอาไว้ บางทีทีมเมืองผู้ดีอาจเก็บได้แค่แต้มเดียวก็เป็นได้
1. เซิร์บ เซอร์ไพรส์ดร็อป ทาดิช นั่งสำรอง
ดราแกน สตอยโกวิช กุนซือทีมชาติ เซอร์เบีย ทำเซอร์ไพรส์เล็กๆด้วยการใส่ชื่อ ดูซาน ทาดิช ตัวรุกประสบการณ์สูงวัย 35 ปีของสโมสร เฟเนบาห์เช่ เป็นแค่ตัวสำรองแม้อดีตดาวยิงทีม เซาธ์แฮมป์ตัน จะผ่านการรับใช้ชาติมาแล้ว 108 นัด และคลำเป้าได้ 23 ประตู
อย่างไรก็ดี เซอร์เบีย ยังมีดาวเตะตัวอันตรายอย่าง อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช หัวหอก อัล ฮิลาล ที่เคยค้าเกือกกับ นิวคาสเซิ่ล และ ฟูแล่ม ลงล่าตาข่ายคู่กับ ดูซาน วลาโฮวิช กองหน้าทีม ยูเวนตุส
จากการวางหมากของ สตอยโกวิช นับว่าผิดไปจากความคาดหมายเนื่องจาก ทาดิช ถือเป็นหัวใจสำคัญของทีมที่ลงเล่นในรอบคัดเลือกมากถึง 660 นาทีจาก 720 นาที ขณะที่ วลาโฮวิช ได้ลงสนามเป็นตัวจริงร่วมกับ มิโตรวิช ในรอบคัดเลือกแค่สองเกมเท่านั้นนัดออกไปแพ้ ฮังการี 2-1 และชนะ ลิทัวเนีย 2-0
2. สิงโตส่ง เทรนต์ , ทริปเปียร์ ออกสตาร์ต
แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติ อังกฤษ ตัดสินใจใช้งาน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ลงสนามเป็นตัวจริงโดยเลือกส่งแบ็คขวา ลิเวอร์พูล ให้สวมบทเป็นกองกลางอย่างเต็มตัวประสานงานร่วมกับ เดแคลน ไรซ์ โดยที่ เบลลิ่งแฮม ได้รับผิดชอบทำเกมรุก
นอกจากนี้ คีแรน ทริปเปียร์ แบ็คขวาทีม นิวคาสเซิ่ล ได้รับมอบหมายให้สวมบทแบ็คซ้ายขัดตาทัพตามคาดเนื่องจากบิ๊กบอส ทรี ไลอ้อนส์ ยังไม่คิดเสี่ยงกับ ลุค ชอว์ ดาวเตะทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่เกมแรกของทัวร์นาเมนต์หลังเจ้าตัวกลับมาลงซ้อมได้เมื่อสัปดาห์ก่อน
3. เคน ทุบสถิติหลากหลาย
แฮร์รี่ เคน กองหน้ากัปตันทีมชาติ อังกฤษ สร้างสถิติในเกมเดียวกันได้หลายชิ้นหลังมีชื่อถูกส่งลงเล่นเกม ยูโร 2024 นัดแรกของรอบแบ่งกลุ่มซีบู๊กับ เซอร์เบีย
ศูนย์หน้าทีม บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งรับใช้ชาติในรายการใหญ่เป็นหนที่ห้าแล้วได้ชื่อว่าเป็นนักเตะอิงลิชรายแรกที่ได้สวมบทกัปตันทีมในสี่ทัวร์นาเมนต์ใหญ่หลังได้รับปลอกแขนมาตั้งแต่ศึก ฟุตบอลโลก ปี 2018 ตามด้วย ฟุตบอลยูโร 2020 , ฟุตบอลโลก 2022 และ ฟุตบอลยูโร 2024 เหนือกว่าทั้ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด , เดวิด เบ็คแฮม , บ๊อบบี้ มัวร์ , ไบรอัน ร็อบสัน และ บิลลี่ ไรท์
ขณะเดียวกัน เคน ยังทำลายสถิติการรับใช้ชาติในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ของ แอชลีย์ โคล 22 นัดด้วยโดยเขาได้ลงเล่นเป็นนัดที่ 23 และทำลายสถิติของ แกรี่ เนวิลล์ เช่นกันในฐานะนักเตะทีมชาติ อังกฤษ ที่ลงเล่นเกม ยูโร มากที่สุดเป็นนัดที่ 12
ด้าน จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารทีม เอฟเวอร์ตัน สร้างสถิติในเกมนี้ได้อีกรายเทียบเท่ากับ ปีเตอร์ ชิลตัน อดีตมือกาวกับการได้เฝ้าเสาในเกม ฟุตบอลโลก และ ฟุตบอลยูโร รวมกันสูงที่สุดให้กับแผ่นดินเกิด 20 นัด
4. เบลลิ่งแฮม เป็นทุกอย่างให้ อังกฤษ
หลังย้ายจาก ดอร์ทมุนด์ ไปค้าแข้งกับลีกกระทิงดุ เบลลิ่งแฮม สร้างชื่อได้อย่างระบือลือลั่นกับ เรอัล มาดริด เมื่อซีซั่นที่ผ่านมาโดยพ่อค้าแข้งอิงลิชคว้าแชมป์มาครองอย่างยิ่งใหญ่ทั้ง ลา ลีกา และ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ชนิดที่เจ้าตัวยังมีอายุไม่ถึง 21 ปีเต็มด้วยซ้ำ
และในที่สุด เบลลิ่งแฮม ก็ฉลองวันเกิดในอีกสองสัปดาห์ล่วงหน้าด้วยการโขกบอลตุงตาข่ายตั้งแต่นาทีที่ 13 ช่วยให้ อังกฤษ นำ เซอร์เบีย ไปก่อน 1-0 ในช่วง 45 นาทีแรก
ถึงตอนนี้ สตาร์ทีม ราชันชุดขาว จึงคลำเป้าให้ อังกฤษ ได้ทั้งในศึก ฟุตบอลโลก และ ฟุตบอลยูโร ได้ก่อนมีอายุครบ 21 ปีโดยเขาเป็นสตาร์ทีม สิงโตคำราม รายที่สองที่มีผลงานยอดเยี่ยมเยี่ยงนี้ต่อจาก ไมเคิ่ล โอเว่น ในศึก ฟุตบอลโลก 1998 และ ยูโร 2000
นอกจากนี้ เบลลิ่งแฮม ยังเป็นนักเตะยุโรปรายแรกด้วยที่ลงเล่นฟุตบอลสามรายการใหญ่ก่อนมีอายุครบ 21 ปี (20 ปี 353 วัน) หลังผ่านสมรภูมิมาแล้วทั้งในศึก ยูโร 2020 และ ฟุตบอลโลก 2022
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจบครึ่งแรกเกมฟัดกับ เซอร์เบีย สถิติเผยถึงความยอดเยี่ยมของ เบลลิ่งแฮม ออกมาอีกนอกเหนือจากการสอยตาข่ายได้ดังนี้
- ได้สัมผัสบอลมากที่สุด 56 ครั้ง
- ชนะการดวลมากที่สุด 8 ครั้ง
- ได้ฟาวล์มากที่สุด 4 ครั้ง
- ผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายสำเร็จมากที่สุด 6 ครั้ง
5. เซาธ์เกต ตีหัวเข้าบ้าน (อีกแล้ว?)
เท่าที่ผ่านมา เซาธ์เกต ถูกวิจารณ์ไม่น้อยถึงการคุมทีมลงเล่นแบบเพลย์เซฟเป็นหลัก และเน้นคว้าผลลัพธ์เป็นอันดับแรก
แน่นอนว่าอดีตกองหลังมีผลงานไม่ด้อยไปกว่าใครหน้าไหนกับการพาทีม ทรี ไลอ้อนส์ เข้ารอบลึกของทัวร์นาเมนต์ใหญ่ได้ตลอด กระทั่งมีข่าวเผยว่า เอฟเอ พร้อมต่อสัญญากับเขาต่อจากปลายปีนี้อีกแม้เจ้าตัวจะล้มเหลวไม่อาจพาทีมซิวแชมป์ ยูโร 2024 ได้สำเร็จก็ตาม
จากความปราชัยที่มีต่อ อิตาลี ในนัดชิงดำ ยูโร 2020 เซาธ์เกต โดนตำหนิว่าปอดกระเส่าเกินเหตุเนื่องจาก ลุค ชอว์ พังประตูให้ทีมนำหน้าตั้งแต่หัววัน แต่สุดท้ายจากการนำคู่แข่งด้วยสกอร์เดียว สิงโตคำราม เสียประตูตีเสมอให้ อัซซูรี่ จนได้ ก่อนพ่ายด้วยการดวลลูกโทษอันเป็นสิ่งที่นักเตะเมืองผู้ดีแขยงมากที่สุด
กระทั่งมาถึงเกมแรกของศึก ยูโร 2024 แมตช์บู๊กับ เซอร์เบีย มันฟ้องให้เห็นว่า เซาธ์เกต ยังเน้นคุมทีมแบบเพลย์เซฟอีกตามเคยหลังจากทีมได้ประตูนำหน้าโดยไม่อาจเบิกสกอร์เพิ่มได้อย่างที่ควรจะเป็นซึ่งก่อให้เกิดความหวาดวิตกว่าอาจถูกคู่แข่งซัดประตูตีเสมอ
หลังเกมดวลกับ เซอร์เบีย ในครึ่งแรกจบลง อังกฤษ มีสถิติที่เหนือกว่าทั้งการครองบอลด้วยสัดส่วน 55.2%:44.8% และมีจังหวะยิงประตูมากกว่า 3:2 ครั้งโดยทีมเมืองผู้ดีส่งบอลเข้ากรอบ 1 ครั้งและเป็นประตู ขณะที่ เซอร์เบีย ส่งบอลเข้ากรอบไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ดี เกมส่วนใหญ่ในครึ่งหลังกลายเป็นว่าแทนที่ สิงโตคำราม ซึ่งเล่นได้เหนือกว่าในครึ่งแรกจะกดดันคู่แข่งให้หนักขึ้นเพื่อทำสกอร์เพิ่มการันตีชัยชนะให้เด็ดขาด พวกเขาเหมือนพอใจที่จะปล่อยให้ทีมเซิร์บเดินเกมรุกเพื่อรอเล่นเกมโต้กลับจนทำให้ พิคฟอร์ด และกองหลังต้องเครียดกันหนักขึ้นก่อนที่เกมจะจบลงโดยทีมเต็งจ๋ากำชัยไปได้แค่ 1-0 เท่านั้น
หนำซ้ำหลังการโม่แข้ง 90 นาทีจบลง ปรากฏว่าทีมของ สตอยโกวิช แซงหน้า อังกฤษ ในด้านสถิติการยิงประตูเนื่องจากพวกเขามีโอกาสตะบันรวม 6 ครั้งมากกว่า อังกฤษ หนึ่งครั้ง หากแต่ เซอร์เบีย ไม่มีความเด็ดขาดจึงส่งบอลเข้ากรอบได้แค่หนเดียว ขณะที่ สิงโตคำราม ทำได้ 3 หนโดยทีมของ เซาธ์เกต ยังครองบอลได้เหนือกว่าเช่นเดิม แต่ตัวเลขลดลงเหลือ 53.4%:46.6%
จากสถิติดังกล่าว หมายความว่าฟอร์มของ อังกฤษ ในครึ่งหลังดร็อปลงไปจนโดน เซอร์เบีย หาโอกาสยิงประตูแซงหน้าได้ แต่ด้วยคุณภาพนักเตะที่เหนือกว่า ทีมเมืองผู้ดีจึงรักษาสกอร์นำหนึ่งประตูได้สำเร็จซึ่งมองดูแล้วหาก เซาธ์เกต ไม่เปลี่ยนวิธีคิด บางทีเขาอาจล้มเหลวอีกทัวร์นาเมนต์ก็เป็นได้ทั้งๆที่ผู้สันทัดกรณีพากันมองว่า สิงโตคำราม มีโอกาสได้ชูโทรฟี่บนผืนแผ่นดินด๊อยทช์