เยอรมนีแสดงศักยภาพเต็มที่ในเกมเปิดสนามยูโร 2024 เอาชนะสกอตแลนด์ 5-1 สร้างความประทับใจให้แฟนบอลและตอกย้ำสถานะเต็งแชมป์
เยอรมนี สมราคมเต็งแชมป์หลังลงสนามเปิดฉาก ยูโร 2024 ด้วยการไล่ถลุง สกอตแลนด์ 5-1 กลุ่ม เอ นัดแรก เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยทัพ "อินทรีเหล็ก" สร้างผลงานเหนือกว่าทัพ "ตาร์ตัน" ทุกกระเบียนนิ้ว ซึ่งการคว้าสามคะแนนต่อหน้าแฟนบอลเพื่อนร่วมชาติเป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมสำหรับเจ้าภาพ ขณะที่ สกอตแลนด์ ต้องกลับไปตั้งสติและแก้ไขข้อผิดพลาดที่มีเยอะมากในแมตช์นี้ และพยายามเก็บชัยชนะให้มากที่สุดใน 2 เกมที่เหลือเพื่อโอกาสคว้าสิทธิ์คว้ารอบน็อกเอาต์
1. สองดาวรุ่งสอยสถิติใหม่ทีมชาติเยอรมนี
ฟลอเรียน เวียร์ทซ์ สร้างผลงานดีมีคุณภาพให้กับทัพ "อินทรีเหล็ก" ด้วยการสอย 1 ประตูสำคัญซึ่งเป็นประตูเปิดหัวในแมตช์นี้ และยังเป็นประตูที่ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดทีมชาติเยอรมนี ในวัย 21 ปีกับ 42 วันในการเล่นรอบสุดท้าย ศึกยูโรด้วย
ยังไม่หมดแค่นั้น สตาร์ "ห้างขายยา" ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น กลายเป็นแข้งคนที่ 3 ของ เยอรมนี ที่ยิงประตูแรกในศึกยูโร หลังจากที่ แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานกองหน้ารุ่นปู่เคยทำได้ในปี 1972 และ คาร์ล-ไฮน์ซ รุมเมนิกเก้ อดีตดาวยิงเลือดด๊อยท์ช ทำเอาไว้ในปี 1980
นอกจากความยอดเยี่ยมของ เวียร์ทซ์ แล้วอีกหนึ่งแข้งดาวรุ่ง "อินทรีเหล็ก" ที่ฟอร์มร้อนแรงเหลือเกินในเกมถลุง สกอตแลนด์ ก็คือ จามาล มูเซียล่า โดยเขาสร้างสถิติเป็นแข้งอายุน้อยที่สุดอันดับ 2 ที่ยิงประตูให้ประเทศด้วยวัย 21 ปีกับ 109 วัน
2. โครส เดินหน้าล่าแชมป์ยูโร
การหวนกลับมาสวมเสื้อทีมชาติเยอรมนีอีกครั้ง หลังประกาศเลิกเล่นให้บ้านเกิดเมื่อ 4 ปีก่อน ถือเป็นเรื่องดีสำหรับทัพ "อินทรีเหล็ก" เพราะทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และประสบการณ์ของ โครส มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในเกมถล่ม สกอตแลนด์
โครส ประสบความสำเร็จทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ โดยเขาคว้าแชมป์มาแล้วทุกรายการช่วงที่เล่นให้ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค และ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ขณะที่กับ เยอรมนี ก็ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ดังนั้นเกียรติยศในศึกยูโรเป็นความสำเร็จระดับเมเจอร์รายการเดียวเท่านั้นที่เขายังไม่ได้สัมผัส
ฟอร์มของ กองกลางวัย 34 ปี ยอดเยี่ยมมากๆ โดยเขาผ่านบอลสำเร็จถึง 99 เปอร์เซนต์ (ผ่านบอลเข้าเป้า 101 จาก 102 ) ในแมตช์กับ สกอตแลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในทัวร์นาเมนต์ (นับตั้งแต่ปี 1980) ผลงานแบบนี้เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่านี่คือนักเตะที่มีความสำคัญมากๆ ในแผงกองกลางเยอรมนี
นอกจากนี้การคว้าชัยชนะในแมตช์เปิดสนามทำให้ เยอรมนี เปิดประตูกว้างในการผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้พวกเขาอาจจะก้าวไปไกลถึงการคว้าแชมป์ ซึ่งหากทำได้นั่นจะเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปีที่เจ้าภาพได้แชมป์ยูโร เพราะก่อนหน้านี้มีเจ้าภาพ 3 ชาตเท่านั้นที่ทำได้นั่นก็คือ สเปน (1964), อิตาลี (1968) และ ฝรั่งเศส (1984)
3. วีเออาร์ ทำงานแม่นยำ
ต้องยอมรับว่าระบบ "วีเออาร์" ในแมตช์เปิดฉาก ยูโร 2024 มีความยอดเยี่ยมอย่างมาก โดยทุกครั้งที่ใช้ระบบนี้ถือว่าไม่มีความผิดพลาด ที่สำคัญนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกครั้งที่ใช้ระบบช่วยตัดสิน แฟนบอลจะได้รับรู้คำอธิบายระหว่างผู้ตัดสินในสนาม กับผู้ตัดสินในห้องวีเออาร์
เกมนี้ สกอตแลนด์ รอดจุดโทษโดย "วีเออาร์" ก่อนที่จะโดนอีกหนึ่งจุดโทษในภายหลัง และยังมีการแจกใบแดงให้กับ ไรอัน พอร์เชียส นักเตะ "ตาร์ตัน" สำหรับการตัดสินใจทั้งสองครั้งถูกต้องแม่นยำ และแฟนบอลจะเห็นได้ชัดว่าระบบนี้มีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากจังหวะฟาวล์ และจุดโทษที่เกิดขึ้นแล้ว การเช็คล้ำหน้าก็มีความแม่นยำเช่นกัน โดยจังหวะของ นิคลาส ฟืลล์ครุก ซึ่งลงสนามในฐานะตัวสำรอง ได้โอกาสซัดประตูที่สองของเขาในแมตช์นี้ แต่โดนปฏิเสธเพราะล้ำหน้า
การได้เห็นเทคโนโลยีช่วยตัดสินมีความแม่นยำแบบนี้ คงทำให้แฟนบอลมีความสุขกับการชม ยูโร 2024 เพราะจังหวะที่กังขาจนอาจทำให้เกิดปัญหา น่าจะได้รับการแก้ไข และทำให้เกมฟุตบอลมีความสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซนต์
4. เสียประตูเยอะไม่ดีกับ สกอตแลนด์
สกอตแลนด์ ยกพลบุกดินแดนไส้กรอก ด้วยความความหวังจะได้ตั๋วเข้ารอบน็อกเอาต์ เนื่องจากโอกาสที่จะได้โควต้าดังกล่าวมีค่อนข้างสูง เพราะ 2 ทีมนำในแต่ละกลุ่มจะได้เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบอัตโนมัติ และอันดับ 3 ที่ทำผลงานได้ดีที่สุด 4 ทีมจะได้เข้ารอบด้วย
ทีมของกุนซือสตีฟ คล้าร์ก อาจต้องหาผลการแข่งขันที่ดีกว่านี้ในการสู้กับคู่แข่งชาติอื่นๆ ในกลุ่ม เอ โดยอีก 2 แมตช์ที่เหลืออยู่ของทัพ "ตาร์ตัน" นั่นก็คือการปะทะกับ สวิตเซอร์แลนด์ และ ฮังการี พวกเขาต้องเอาชนะพร้อมกับยิงประตูให้ได้เยอะที่สุด
การแพ้ทัพ "อินทรีเหล็ก" ถึง 5-1 เป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาซะเลย เพราะนั่นทำให้พวกเขาเสียไปถึง 5 ลูก และยิงคืนแค่ประตูเดียว ส่งผลให้ตอนนี้ สกอตแลนด์ ติดลบสี่ ดังนั้นเมื่อจบการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม ถ้าหากคะแนนของทุกทีมในกลุ่มเกิดเท่ากัน การจัดอันดับจะเช็คที่สกอร์แบบ เฮด ทู เฮด ก่อนผลต่างประตูได้เสีย
สำหรับตอนนี้ คล้าร์ก มีการบ้านกองโตที่จะต้องนำไปขบคิดเพื่อแก้ปัญหา โดยเฉพาะการสร้างเกมรับให้มีความเหนียวแน่นมากขึ้น และพัฒนาเรื่องการจบสกอร์ให้เฉียบคม อย่าลืมว่าประตูเดียวที่พวกเขายิงได้ในเกมแรกมาจากการทำเข้าประตูตัวเองของ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ กองหลังเจ้าภาพ
ฉะนั้นถ้าดวงพาวาสนาส่งให้ สกอตแลนด์ จบอันดับ 3 ผลต่างประตูได้เสียอาจตัดสินอนาคตของทัพ "วิสกี้" ว่าจะได้เข้ารอบต่อไปหรือกลับบ้านด้วยความช้ำใจ
5. เกมเปิดยูโรมีครบทุกรสชาติ
การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเต็มไปด้วยความเข้มข้นทุกครั้ง แต่สำหรับ ยูโร 2024 มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างมาก เพราะเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังชิงแชมป์ยูโรที่มีครบทุกรสชาติทั้งใบแดง, จุดโทษเป็นประตู และทำเข้าประตูตัวเอง !!!
สำหรับแฟนบอลทัพ "อินทรีเหล็ก" ต้องบอกว่าแฮปปี้ที่สุดที่ทีมรักโชว์ฟอร์มสมบูรณ์แบบด้วยการเล่นข่ม สกอตแลนด์ แบบมิดด้าม และยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ โดยทั้ง 6 ประตูที่เกิดขึ้นเป็นผลงานของ เยอรมนี ทั้งหมด (5 ลูกของเจ้าภาพและอีกลูกเข้าประตูตัวเอง)
ขณะที่ทัพ "ตาร์ตัน" ต้องบันทึกสถิติที่ไม่น่าจดจำเมื่อพวกเขาเสีย 5 ประตูเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่แพ้ สหรัฐอเมริกา (1-5) ในเกมอุ่นเครื่องเมื่อเดือนพฤษภาคม 2012 และยังเป็นครั้งแรกในการแข่งขันยูโรรอบคัดเลือกเดือนพฤศจิกายน 2003 แพ้ เนเธอร์แลนด์ (0-6)