สิ้นสุดการรอคอยซะที !! ศึกยูโร 2024 จะเปิดฉากขึ้นในวันศุกร์ที่ 14 มิถุนายนนี้ โดย เยอรมนี เจ้าภาพ จะลงประเดิมสนามปะทะ สกอตแลนด์ ในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอ ที่สนามอัลลิอันซ์ อารีน่า แน่นอนว่าสถิติของ "อินทรีเหล็ก" โหดกว่าทัพ "วิสกี้" หลายเท่า แต่พวกเขาก็ห้ามประมาทอย่างเด็ดขาด เพราะไม่งั้นอาจน้ำตาตกก็ได้ สำหรับแมตช์แรกทั้งสองชาติต้องการคว้าชัยชนะให้ได้ เพราะการเริ่มต้นดีจะทำให้ทีมมีโอกาสได้ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์สูงยิ่งขึ้น
1. เจ้าภาพยูโรครั้งแรกนับตั้งแต่รวมประเทศ
แทบไม่อยากเชื่อว่าการรับหน้าเสื่อจัดยูโร 2024 คือการได้เป็นเจ้ภาพในศึกชิงแชมป์ทวีปยุโรปครั้งแรกภายใต้ชื่อ "เยอรมนี" นับตั้งแต่ที่ เยอรมันตะวันตก กับ เยอรมันตะวันออกรวมประเทศ
ก่อนหน้านี้ดินแดนไส้กรอกเคยเป็นเจ้าภาพครั้งล่าสุดเมื่อปี 1988 ในนามเยอรมันตะวันตก และเส้นทางของทัวร์นาเมนต์ในครั้งนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บใจเมื่อทำได้เพียงแค่รอบรองชนะเลิศ หลังโดน เนเธอร์แลนด์ เขี่ยตกรอบอย่างเจ็บปวด
แน่นอนว่าการจัดทัวร์นาเมนต์ระดับประเทศในชื่อ "เยอรมนี" ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะหลังจากที่ได้รวมประเทศพวกเขาก็เคยเป็นเจ้าภาพจัดศึก "เวิลด์ คัพ 2006" แต่บทสรุปทำได้เพียงแค่อันดับ 3 เท่านั้น สำหรับครั้งนี้ "อินทรีเหล็ก" หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องประสบความสำเร็จเพื่อชาวเยอรมันให้ได้
ทั้งนี้หากนับรวมการเป็นเจ้าภาพทั้งในชื่อ "เยอรมันตะวันตก" และ "เยอรมนี" ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 โดยสามครั้งก่อนหน้านั้นทีมทะลุถึงรอบรองชนะเลิศเป็นอย่างน้อย เริ่มจากฟุตบอลโลก 1974 (เยอรมันตะวันตก) คว้าแชมป์, ยูโร 1988 (เยอรมันตะวันตก) รอบตัดเชือก และ เวิลด์ คัพ 2006 (เยอรมนี) อันดับ 3
2. สถิติ เยอรมนี ข่มมิดด้าม
เยอรมนี กับ สกอตแลนด์ มีโอกาสได้ปะทะแข้งในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 เท่านั้น และขุนพล "อินทรีเหล็ก" เอาชนะได้ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ นั่นก็คือรอบแบ่งกลุ่มศึกฟุตบอลโลก 1986 (ชนะ 2-1) และ ยูโร 1992 (ชนะ 2-0)
ขณะที่ทัพ "ตาร์ตัน" มีสถิติเป็นรองแบบสุดกู่ในการพบกัน 13 แมตช์หลังสุด โดยพวกเขาเอาชนะ เยอรมนี ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น (เสมอ 4, แพ้ 8) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ปี 1999 จากประตูโทนของ ดอน ฮัทชินสัน ในเกมอุ่นเครื่องที่เมืองเบรเมน (0-1)
ยิ่งไปกว่านั้นทัพ "อินทรีเหล็ก" ซึ่งปัจจุบันมี ยูเลียน นาเกลส์มันน์ นั่งกุมบังเหียนผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายศึกยูโร 14 ครั้ง มากกว่าชาติอื่นๆ แถมพวกเขายังคว้าแชมป์ไป 3 สมัยโดยมี สเปน ที่ทำสถิติเท่ากัน
อย่างไรก็ตามสถิติเป็นเรื่องของตัวเลขที่ใช้เพื่อคาดการณ์ว่าทีมไหนมีโอกาสจะคว้าชัยชนะในแมตช์นั้น แต่ในโลกของความเป็นจริงฟุตบอลลูกกลมๆ สามารถสร้างเรื่องเซอร์ไพรส์ได้เสมอ และมันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งทั้งในเวิลด์ คัพ และ ยูโร !!
3. สตาร์ที่น่าจับตามองของ เยอรมนี
สำหรับตอนนี้นักเตะที่น่าจับตามองมากที่สุดคงหนีไม่พ้น โทนี่ โครส หลังเจ้าตัวหวนกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง และนี่จะเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับประเทศครั้งสุดท้ายของเขาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพด้วย
โครส เป็นกองกลางที่มีความสำคัญกับทัพ "อินทรีเหล็ก" อย่างมากซึ่งช่วยทำให้ทีมมีค่าเฉลี่ยในการครองเกมถึง 59.3 เปอร์เซนต์ในศึกยูโร 2020 เป็นรองแค่ สเปน (66.8 เปอร์เซนต์) เท่านั้น
ดาวเตะวัย 34 ปีประกาศเลิกเล่นให้บ้านเกิดเมื่อ 4 ปีก่อน และการหวนกลับมาสวมเครื่องแบบ "อินทรีเหล็ก" ครั้งนี้ก็เพื่อช่วยประเทศชาติสำหรับการเป็นเจ้าภาพในทัวร์นาเมนต์ลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปยุโรป
โครส ซึ่งเพิ่งจะคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 ร่วมกับ เรอัล มาดริด เมื่อเร็วๆ นี้ มีสถิติจ่ายบอลทะลุไลน์แนวรับคู่ต่อสู้ (214 ครั้ง) และผ่านบอลทะลุพื้นที่สุดท้าย (69 ครั้ง) มากกว่านักเตะคนอื่นๆ ระดับสโมสรในการแข่งขันรายการใหญ่ของ ยูฟ่า ฤดูกาล 2023/2024
ที่สำคัญ โครส ซึ่งประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ทุกรายการในระดับสโมสรและทีมชาติ (คว้าแชมป์เวิลด์ คัพ 2014) ดังนั้นเป้าหมายความคว้าแชมป์ยูโรนอกจากจะสร้างความสุขให้เพื่อนร่วมชาติแล้ว ยังเป็นการสะสมเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่อีกรายการ ซึ่งจะทำให้การแขวนสตั๊ดของเขาสมบูรณ์แบบ
4. สตาร์ที่น่าจับตามองของ สกอตแลนด์
การรับที่แข็งแกร่งมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ สกอตแลนด์ ผ่านรอบคัดเลือกมาได้ ขณะเดียวกันคุณภาพเกมรุกของทีมก็เป็นอีกปัจจัยที่ เยอรมนี ห้ามประมาทเด็ดขาด โดยเฉพาะ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่พร้อมกระซวกตาข่ายเจ้าภาพได้ตลอดเวลา
"แม็คทอม" เป็นนักเตะที่มักจะอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ และช่วยยิงประตูสำคัญทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ สกอตแลนด์ ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ ที่สำคัญเขาคือดาวซัลโวสูงสุดในรอบคัดเลือก กลุ่ม เอ ด้วยการซัดไป 7 ประตู มากกว่า เออร์ลิง ฮาลันด์ เครื่องจักรสังหารทีมชาตินอร์เวย์ ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยซ้ำ
สตาร์เลือดวิสกี้ วัย 27 ปี ยิงประตูสูงสุดร่วมกับแข้งเพื่อนร่วมชาติในศึกเวิลด์ คัพ/ยูโร รอบคัดเลือก ได้แก่ สตีเว่น เฟล็ทเชอร์ (ยูโร 2016) และ จอห์น แม็คกินน์ (ยูโร 2020)
ดังนั้นถ้าหาก แม็คโทมิเนย์ อยู่ในช่วงฟอร์มที่เข้าฝักพอดีในเกมวันศุกร์นี้ งานนี้เหล่าบรรดาแฟนบอลชาวสกอตติช อาจจะได้เห็นประตูจากผลงานของ ดาวเตะลูกหม้อ "ผีแดง" ก็ได้
5. เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
การได้ลงสนามนัดเปิดทัวร์นาเมนต์ต่อหน้าแฟนบอลเพื่อนร่วมชาติเป็นข้อได้เปรียบสำหรับ เยอรมนี ยิ่งเมื่อเทียบกับสถิติ, ตัวผู้เล่น และผลงานในระดับชาติ พวกเขามีโอกาสสูงมากที่จะคว้าสามคะแนน
แน่นอนว่าในเกมแรกของรอบแบ่งกลุ่ม ชัยชนะเป็นสิ่งที่มีความหมาย เพราะมันอาจหมายถึงโอกาสที่จะได้ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ แต่ในขณะเดียวกันความพ่ายแพ้จะทำให้เปอร์เซนต์ตกรอบเพิ่มสูงขึ้นทันที
ทัพ "อินทรีเหล็ก" มีความมุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะในเกมแรกเพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้ได้ ขณะที่ สกอตแลนด์ คงไม่ได้คาดหวังสูงมาก แค่เสมอก็ถือว่าดีแล้ว แต่ก็หวังลึกๆ จะหักปากกาเซียนโค่นเจ้าภาพเช่นกัน
หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจที่ เยอรมนี ควรรู้ก็คือมีเจ้าภาพแค่ 3 ชาติเท่านั้นที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรบนแผ่นดินพวกเขา ได้แก่ ฝรั่งเศส ปี 1984, อิตาลี ปี 1968 และ สเปน ปี 1964 จะเห็นได้ว่าชาติเจ้าภาพครั้งสุดท้ายที่คว้าแชมป์ต้องย้อนไปกว่า 40 ปี
ฉะนั้น เยอรมนี ในฐานะเจ้าภาพครั้งนี้ ต้องเริ่มต้นรอบแบ่งกลุ่มให้ดีที่สุดเพื่อที่จะประสบความสำเร็จให้ได้
ทอมเม้ง