ทีมชาติอังกฤษ กับภารกิจลูบคมเยอรมันล่าแชมป์ยูโร2024

กระทั่งในวันที่เป็นแชมป์โลก อังกฤษก็ยังไปไม่ถึงแชมป์ยุโรป..

ทีมสิงโตคำรามของ เซอร์ อัลฟ์ แรมซีย์ ที่เพิ่งคว้าแชมป์โลกปี 1966 ตะลุยฝ่าด่านรอบคัดเลือกอันโหดร้ายของศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเข้าไปล่าตำแหน่งหมายเลขหนึ่งของทวีปในปี 1968 ได้ตามคาด

เป็นหนึ่งในสี่ทีมที่เข้ารอบสุดท้ายร่วมกับ สหภาพโซเวียต ยูโกสลาเวีย และ อิตาลี ที่ได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพ

แต่เพียงแค่ด่านแรกเท่านั้นแชมป์โลกก็จบเห่ ประตูเดียวจาก ดราแกน ซายิช ปีกซ้ายแห่งเร้ดสตาร์ เบลเกรด ก่อนหมดเวลา 4 นาทีส่งอังกฤษตกรอบไปเตะชิงอันดับสามกับโซเวียตแทน แถมยังพ่วงด้วยใบแดงของ อลัน มัลเลอรี่ กองกลางจากสเปอร์สอีกต่างหาก

แม้จะเอาชนะทีมหลังม่านเหล็กได้ในเกมแก้ตัวคว้าอันดับ 3 ไปครอง แต่อังกฤษก็เสียฟอร์มแชมป์โลกไม่น้อย เพราะขุนพลชุดสร้างประวัติศาสตร์ที่เวมบลีย์ 2 ปีก่อนหน้านั้นยังอยู่กันพร้อมหน้า กอร์ดอน แบงค์ส, อลัน บอลล์, บ๊อบบี้ มัวร์, น็อบบี้ สไตล์ส, แจ๊คกี้-บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, มาร์ติน ปีเตอร์ส, เจฟฟ์ เฮิร์สท์, โรเจอร์ ฮันท์ ฯลฯ

นั่นคือกำแพงที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่แรก และในวันนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่ากำแพงนั้นจะยังคงยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ วันที่ผ่านการแข่งขันเพิ่มเติมอีก 13 สมัย กินเวลายาวนาน 56 ปี..

ช่วงที่เวลาเดินหน้าผ่านไปอีกเกือบ 6 ทศวรรษนั้น สเปนแชมป์ 1964 ได้แชมป์เพิ่มอีก 2 ครั้ง อิตาลีแชมป์ 1968 ได้แชมป์เพิ่มอีก 1 ครั้ง โซเวียตแชมป์ 1960 เข้าชิงเพิ่มอีก 2 หน

เยอรมันจากที่ยังนับศูนย์กับรอบสุดท้ายอยู่เลยกลับก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของยุโรปได้แชมป์ 3 สมัย ฝรั่งเศสก็เช่นกันได้แชมป์ 2 สมัย ฮอลแลนด์ เชโกสโลวาเกีย โปรตุเกส แม้กระทั่ง เดนมาร์ก กับ กรีซ ยังได้ชูโทรฟี่ อองรี เดอโลเน่ต์

อังกฤษมีสถิติเพิ่มเติมเพียงแค่.. เข้าชิงหนเดียว และมันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคราวที่แล้ว

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปจึงเป็นเหมือนเส้นขนานของอังกฤษ เพราะนอกจากปี 1968 ที่ไปแข่งในฐานะแชมป์โลกแล้ว คราวที่ความคาดหวังสูงไม่แพ้กันเมื่อปี 1996 ที่กระแสฟีเวอร์ ความพร้อม ขุมกำลังทั้งนักเตะและโค้ชมาครบ พวกเขาก็ยังไปไม่ถึงดวงดาว

แกเร็ธ เซาธ์เกต คือคนที่เข้าใจมันดีที่สุด ก็เขาคือคนยิงจุดโทษลูกสุดท้ายไม่เข้าในเกมกับเยอรมัน ทำให้ความฝันของเพื่อนร่วมชาติต้องจบลงเพียงรอบตัดเชือก

ศึกยูโร 2024 อังกฤษได้รับการคาดหมายเป็นเต็งหนึ่ง ด้วยนักเตะระดับพระกาฬคับคั่ง แฮร์รี่ เคน, จู๊ด เบลลิงแฮม, ฟิล โฟเด้น, โคล พาลเมอร์, ดีแคลน ไรซ์, บูกาโย่ ซาก้า, ค็อบบี้ เมนู, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, จอห์น สโตนส์, ไคล์ วอล์คเกอร์, โอลลี่ วัตกิ้นส์ ฯลฯ

มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีที่มาที่ไปหรอก นักเตะทรีไลอ้อนส์หลายคนก็มีคุณภาพคับแก้วจริง ๆ เป็นกำลังหลักให้ทีมชั้นนำของยุโรป มีเกียรติยศ มีแชมป์ มีถ้วยรางวัลประดับบารมี

ไม่ใช่ครั้งแรก และก็คงจะไม่ใช่คราวสุดท้ายที่ทีมสิงโตคำรามได้รับการจับตามองว่าเป็นตัวเต็ง

เพียงแต่มันก็เป็นเพียงการคาดการณ์ตามหน้าเสื่อ อังกฤษไม่ใช่เต็งหนึ่งแบบข้ามาคนเดียวหรือเต็งจ๋า อัตราจ่ายของพวกเขาอยู่ที่ 3.5 ต่อ ขณะที่เต็งสองอย่างฝรั่งเศสอัตราจ่าย 4 ต่อ เยอรมันเต็งสาม 5 ต่อ

ทีมอื่น ๆ ก็เต็มไปด้วยผู้เล่นและโค้ชชั้นนำ มีโอกาสคว้าแชมป์เช่นกัน ทั้งโปรตุเกสเต็งสี่ 7 ต่อ สเปนเต็งห้า 8 ต่อ อิตาลี แชมป์เก่า กับ ฮอลแลนด์ เต็งหกร่วมกันที่ราว ๆ 18 ต่อ หรือกระทั่งม้านอกสายตาอย่าง ฮังการี สโลวีเนีย แอลเบเนีย และ จอร์เจีย ทีมน้องใหม่ที่อัตราจ่ายล้วนเป็นเลขสามหลักทั้งสิ้น

อังกฤษกับขุมกำลังที่น่าตื่นเต้นจะยังคงเป็นทีมที่มีผู้คนเฝ้าดูมากมายเวลาถ่ายทอดสดเหมือนเดิม เพราะปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าความเป็นพวกเขานั้นมีอารมณ์ระทึกใจฉาบอยู่ มันเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร

จาก เจฟฟ์ เฮิร์สท์, บ๊อบบี้ มัวร์, เควิน คีแกน, ไบรอัน ร็อบสัน, แกรี่ ลินิเกอร์, เดวิด แพล็ตต์, อลัน เชียเรอร์, เดวิด เบ็คแฮม, ไมเคิ่ล โอเว่น, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, โซล แคมป์เบลล์, พอล สโคลส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, เวย์น รูนี่ย์, ธีโอ วัลคอตต์, ราฮีม สเตอร์ลิง

สู่ เคน, เบลลิงแฮม, โฟเด้น, พาลเมอร์, ซาก้า, ไรซ์, เมนู, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, วอล์คเกอร์, สโตนส์, วัตกิ้นส์ ฯลฯ

กำแพงยังคงอยู่ตรงนั้น รอเพียงวันถูกทุบให้ทลาย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมาถึงเมื่อไหร่

ยิ่งคิด ก็ยิ่งพบว่าไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากคุณภาพของคู่แข่งทีมอื่น ๆ และแรงกดดันมหาศาลที่แบกอยู่บนบ่าแล้ว ยูโรคราวนี้ยังฟาดแข้งกันที่เยอรมัน..

อังกฤษได้แชมป์บนแผ่นดินเยอรมัน.. แค่คิดก็ยิ่งทำให้ภารกิจปลดล็อกในครั้งนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซนต์

เยอรมันเคยลูบคมอังกฤษด้วยแชมป์ที่เวมบลีย์เมื่อปี 1996 ทีมสิงโตคำรามจะเอาคืนและปลดล็อกไปในตัวได้ไหม..

ให้ความระทึกใจของยูโร 2024 มอบคำตอบให้กับเรากันครับ

................................................

ทีมชาติอังกฤษกับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

ปี 1960

  • ไม่ได้เข้าร่วม

ปี 1964 (เซอร์วอลเตอร์ วินเทอร์บ็อททอม, อัลฟ์ แรมซี่ย์)

  • ตกรอบคัดเลือก
  • แพ้ ฝรั่งเศส ในรอบคัดเลือกรอบแรก ด้วยประตูรวม 3-6 (1-1/2-5)

ปี 1968 (เซอร์อัลฟ์ แรมซี่ย์)

  • อันดับสาม
  • รอบรองชนะเลิศ แพ้ ยูโกสลาเวีย 0-1
  • นัดชิงที่สาม ชนะ สหภาพโซเวียต 2-0

ปี 1972 (เซอร์อัลฟ์ แรมซี่ย์)

  • ตกรอบคัดเลือก
  • แพ้ เยอรมัน ในรอบคัดเลือกรอบสอง ด้วยประตูรวม 1-3 (1-3/0-0)
  • เป็นแชมป์กลุ่ม 3 ในรอบคัดเลือกรอบแรกที่มี สวิตเซอร์แลนด์ กรีซ มอลตา ร่วมกลุ่ม

ปี 1976 (ดอน เรวี่)

  • ตกรอบคัดเลือก
  • เป็นรองแชมป์กลุ่ม 1 ที่มี เชโกสโลวาเกีย โปรตุเกส ไซปรัส ร่วมกลุ่ม

ปี 1980 (รอน กรีนวู้ด)

  • ตกรอบแรก
  • ได้อันดับ 3 ของกลุ่ม 2 ที่มี เบลเยียม (1-1) อิตาลี (0-1) สเปน (2-1) ร่วมกลุ่ม

ปี 1984 (บ๊อบบี้ ร็อบสัน)

  • ตกรอบคัดเลือก
  • เป็นรองแชมป์กลุ่ม 3 ที่มี เดนมาร์ก กรีซ ฮังการี ลักเซมเบิร์ก ร่วมกลุ่ม

ปี 1988 (บ๊อบบี้ ร็อบสัน)

  • ตกรอบแรก
  • แพ้รวดทั้ง 3 เกมในกลุ่ม 2 ที่มี ไอร์แลนด์ (0-1) ฮอลแลนด์ (1-3) และ สหภาพโซเวียต (1-3) ร่วมกลุ่ม

ปี 1992 (เกรแฮม เทย์เลอร์)

  • ตกรอบแรก
  • เป็นอันดับสุดท้ายของกลุ่ม 1 ที่มี สวีเดน (1-2) เดนมาร์ก (0-0) และ ฝรั่งเศส (0-0) ร่วมกลุ่ม

ปี 1996 (เทอร์รี่ เวนาเบิลส์)

  • ตกรอบรองชนะเลิศ
  • รอบแรก ได้แชมป์กลุ่ม A ที่มี ฮอลแลนด์ (4-1) สกอตแลนด์ (2-0) และ สวิตเซอร์แลนด์ (1-1) ร่วมกลุ่ม
  • รอบ 8 ทีมสุดท้าย ชนะ สเปน ด้วยการดวลจุดโทษ 4-2 หลังเสมอ 0-0 ใน 120 นาที
  • รอบรองชนะเลิศ แพ้ เยอรมัน ด้วยการดวลจุดโทษ 5-6 หลังเสมอ 1-1 ใน 120 นาที

ปี 2000 (เควิน คีแกน)

  • ตกรอบแรก
  • ได้อันดับ 3 ของกลุ่ม A ที่มี โปรตุเกส (2-3) โรมาเนีย (2-3) และ เยอรมัน (1-0) ร่วมกลุ่ม

ปี 2004 (สเวน โกรัน อีริคส์สัน)

  • ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
  • รอบแรก ได้รองแชมป์กลุ่ม B ที่มี ฝรั่งเศส (1-2) โครเอเชีย (4-2) และ สวิตเซอร์แลนด์ (3-0) ร่วมกลุ่ม
  • รอบ 8 ทีมสุดท้าย แพ้ โปรตุเกส ด้วยการดวลจุดโทษ 5-6 หลังเสมอ 2-2 ใน 120 นาที

ปี 2008 (สตีฟ แม็คคลาเรน)

  • ตกรอบคัดเลือก
  • เป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม E ที่มี โครเอเชีย รัสเซีย อิสราเอล มาซิโดเนีย เอสโตเนีย และ อันดอร์ร่า ร่วมกลุ่ม

ปี 2012 (รอย ฮอดจ์สัน - แทน ฟาบิโอ คาเปลโล่ ที่ลาออกหลังจบรอบคัดเลือก)

  • ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
  • รอบแรก ได้แชมป์กลุ่ม D ที่มี ฝรั่งเศส (1-1) ยูเครน (1-0) และ สวีเดน (3-2) ร่วมกลุ่ม
  • รอบ 8 ทีมสุดท้าย แพ้ อิตาลี ด้วยการดวลจุดโทษ 2-4 หลังเสมอ 0-0 ใน 120 นาที

ปี 2016 (รอย ฮอดจ์สัน)

  • ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
  • รอบแรก ได้รองแชมป์กลุ่ม B ที่มี เวลส์ (2-1) สโลวาเกีย (0-0) และ รัสเซีย (1-1) ร่วมกลุ่ม
  • รอบ 16 ทีมสุดท้าย แพ้ ไอซ์แลนด์ 1-2

ปี 2020 (แกเร็ธ เซาธ์เกต)

  • รองแชมป์
  • รอบแรก ได้แชมป์กลุ่ม D ที่มี โครเอเชีย (1-0) สกอตแลนด์ (0-0) และ สาธารณรัฐเช็ก (1-0) ร่วมกลุ่ม
  • รอบ 16 ทีมสุดท้าย ชนะ เยอรมัน 2-0
  • รอบ 8 ทีมสุดท้าย ชนะ ยูเครน 4-0
  • รอบรองชนะเลิศ ชนะ เดนมาร์ก 2-1 หลังต่อเวลาพิเศษ (เสมอ 1-1 ใน 90 นาที)
  • นัดชิงชนะเลิศ แพ้ อิตาลี ด้วยการดวลจุดโทษ 2-3 หลังเสมอ 1-1 ใน 120 นาที

ปี 2024 (แกเร็ธ เซาธ์เกต)

อยู่กลุ่ม C ร่วมกับ สโลวีเนีย เดนมาร์ก และ เซอร์เบีย

อาทิตย์ที่ 16 มิ.ย. พบ เซอร์เบีย ที่ เกลเซ่นเคียร์เช่น (02.00 น.)

พฤหัสฯ ที่ 20 มิ.ย. พบ เดนมาร์ก ที่ แฟร้งค์เฟิร์ต (23.00 น.)

อังคารที่ 25 มิ.ย. พบ สโลวีเนีย ที่ โคโลญจน์ (02.00 น.)


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport