โมโมตะ ประกาศอำลาแบดมินตันทีมชาติญี่ปุ่นหลังจบโธมัส-อูเบอร์ คัพ

เคนโตะ โมโมตะ อดีตนักแบดมินตันมือ 1 ของโลกชาวญี่ปุ่น ประกาศเลิกเล่นทีมชาติญี่ปุ่น หลังจบการแข่งขันทีมชายโธมัส คัพ 2024 ในเดือนพฤษภาคมนี้

สำนักข่าว kyodonews ของญี่ปุ่นรายงานว่า เคนโตะ โมโมตะ เจ้าของแชมป์โลก 2 สมัย ในวัย 30 ปี ได้แถลงข่าวเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ว่า ผมจะลงเล่นให้กับแบดมินตันทีมชาติญี่ปุ่นเป็นครั้งสุดท้ายในการแข่งขันทีมชายโธมัส คัพ ซึ่งจะเริ่มปลายเดือนนี้ที่เมืองเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 27 เม.ย.67 - 5 พ.ค.67 นี้ แต่ยังลงเล่นในสนามสโมสรในญี่ปุ่น และการแข่งขันลีกอาชีพในญี่ปุ่นในศึก เอสเจ ลีก ต่อไป 

สาเหตุหลักของการเลิกเล่นครั้งนี้ มาจากอาการบาดเจ็บจากการประสบอุบัติเหตุรถชน หลังจากคว้าแชมป์มาเลเซีย มาสเตอร์สในปี 2020 จนได้รับบาดเจ็บหลายจุด โดยเฉพาะเบ้าตาขวา เป็นเหตุให้ โมโมตะ ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งเหมือนเคยได้ อันดับโลกปัจจุบันหล่นไปอยู่อันดับ 52 และหมดสิทธิ์ไปเล่นโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส แน่นอนแล้ว

โมโมตะ กล่าวว่า "ผมรู้ตัวเองว่าตอนนี้ไม่สามารถกลับไปสู่จุดสูงสุดที่จะเป็นมือ 1 ของโลกได้อีกต่อไปแล้ว ผมมีอาชีพที่สมหวังมากกับการเล่นให้กับทีมชาติ ตอนนี้ผมต้องการมีส่วนร่วมในการช่วยทีมแบดมินตันชายญี่ปุ่นให้ดีที่สุดกับความเพลิดเพลินในการเล่นแบดมินตันหนนี้”

สำหรับเคนโตะ โมโมตะ นั้น สร้างผลงานอันยอดเยี่ยม สามารถขึ้นไปครองมืออันดับ 1 ของโลกได้ในเดือนกันยายนปี 2018 เป็นระยะเวลา 2 ปีเศษจากผลงานคว้าแชมป์โลกถึง 2 สมัยในปี 2018 และ 2019 , แชมป์ออล อิงแลนด์ 1 สมัย ในปี 2019 แชมป์เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์อีก 2 สมัยในปี 2015 และ 2019 , แชมป์เอเชีย 2 สมัย ในปี 2018 และ2019 และคว้าแชมป์ในระดับเวิลด์ทัวร์ไปถึง 13 รายการตลอดการเล่นอาชีพ 11 ปี  นอกจากนี้เป็นการคว้าแชมป์ไปถึง 11 รายการในปี 2019 ถูกบันทึกใน กินเนสบุ๊กอักด้วย 

สำหรับเคนโตะ โมโมตะ นั้น สร้างผลงานอันยอดเยี่ยม สามารถขึ้นไปครองมืออันดับ 1 ของโลกได้ในเดือนกันยายนปี 2018 เป็นระยะเวลา 2 ปีเศษจากผลงานคว้าแชมป์โลกถึง 2 สมัยในปี 2018 และ 2019 , แชมป์ออล อิงแลนด์ 1 สมัย ในปี 2019 แชมป์เวิลด์ทัวร์ ไฟนอลส์อีก 2 สมัยในปี 2015 และ 2019 , แชมป์เอเชีย 2 สมัย ในปี 2018 และ2019 และคว้าแชมป์ในระดับเวิลด์ทัวร์ไปถึง 13 รายการตลอดการเล่นอาชีพ 11 ปี  นอกจากนี้เป็นการคว้าแชมป์ไปถึง 11 รายการในปี 2019 ถูกบันทึกใน กินเนสบุ๊กอักด้วย 


ที่มาของภาพ : Getty Images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport